ก้อนหิน และ กระดูก
หลักฐานอันทรงพลังที่แย้งทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไม่จริงหรือที่เรื่องการวิวัฒนาการเป็นวิทยาศาสตร์ และเรื่องการกำเนิดโลกโดยผ่านการทรงสร้างของพระเจ้าเป็นเพียงความเชื่อทางศาสนา?
ผู้คนมากมายมีความคิดที่ว่า “แนวคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ และแนวคิดเกี่ยวกับการกำเนิดของโลกผ่านการที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพียงความเชื่อทางศาสนา” ถ้านั่นเป็นความจริงแล้ว ทำไมจึงมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในปัจจุบันที่ยังยอมรับว่าโลกซึ่งเป็นอยู่ทุกวันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่พันปีมานี้เอง (ดังที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระธรรม ”ปฐมกาล” ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกในพระคัมภีร์ของยิวและคริสเตียน) และทำไมพวกเขาจึงได้ปฏิเสธแนวคิดวิวัฒนาการ ซึ่งกล่าวว่าทุกสิ่งได้ค่อยๆพัฒนาจากสิ่งเริ่มแรกที่ง่ายไม่มีความสลับซับซ้อนผ่านระยะเวลาอันยาวนานเป็นล้านปี?
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้างนั้น แม้จะเป็นกลุ่มคนส่วนน้อย แต่ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว มีนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเกี่ยวกับการที่โลกเกิดมาโดยการทรงสร้างตามที่บันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นจำนวนมากกว่า 10,000 คน (ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับองค์กรที่สนับสนุนความเชื่อในเรื่องการทรงสร้าง) ในส่วนของประเทศเกาหลี มีนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนที่เป็นสมาชิกสมาคมวิจัยการกำเนิดของโลกผ่านการทรงสร้าง (The Korea Association of Creation Research) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ล้วนจบการศึกษาในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ และหลายสิบคนยังเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยอีกด้วย

เราอาจมีความคิดว่า ผู้ที่เชื่อในเรื่องการกำเนิดโลกโดยมีผู้สร้างขึ้นนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือไม่ได้คิดด้วยหลักวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างบุคคล 2 คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการผู้ซึ่งเชื่อในแนวคิดเกี่ยวกับการกำเนิดของโลกโดยมีผู้สร้าง ท่านแรกคือศาสตราจารย์ เอ. อี. ไวเดอร์-สมิท ท่านเป็นหนึ่งในบรรดาแกนนำของผู้ที่ยึดแนวคิดเรื่องการทรงสร้างในปลายศตวรรษที่ 20 ท่านได้รับปริญญาเอกถึง 3 ปริญญา ซึ่งโดยทั่วไป ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยจะได้รับปริญญาเอกเพียง 1 ปริญญาเท่านั้น อีกท่านหนึ่งคือ ดร.ซาอามี ไชบานี ท่านเป็นนักฟิสิกส์ผู้ซึ่งได้รับปริญญาทางวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดถึง 4 ปริญญา และมีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการมากกว่า 100 เรื่อง ท่านเชื่อว่า “พระธรรมปฐมกาล” เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ นอกจากท่านทั้งสองแล้ว ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนมากที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการกำเนิดของโลกและการเกิดน้ำท่วมโลกของโนอาห์ตามที่ได้บันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้ค้นพบ มีส่วนร่วมในการค้นพบ หรือในการพัฒนาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากมายหลายสาขา.
อ้าว! ถ้าโลกเกิดมาโดยมีผู้สร้าง แล้ววิทยาศาสตร์ล่ะ …
วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่วิเศษในการค้นคว้าเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับความอัศจรรย์ของสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลก แต่วิทยาศาสตร์แบบที่ปฏิบัติกันและดูเหมือนประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในโลกปัจจุบันของเรานั้นค่อนข้างแตกต่างจากวิทยาศาสตร์ที่มุ่งขุดค้นหาความจริงของอดีตกาล วิทยาศาสตร์ที่นำมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ล้วนเกี่ยวข้องกับกฎที่ควบคุมการทำงานของโลกในปัจจุบัน ซึ่งยึดถือการวัดค่าต่างๆหรือการเฝ้าดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และความสามารถในการตรวจสอบผลการสังเกตที่เวลาหนึ่งๆโดยการทำการทดลองซ้ำ แต่วิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในอดีตซึ่งไม่สามารถทำซ้ำได้นั้นแตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ถ้าคุณลองคิดถึงงานของนักสืบสวนสอบสวนหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานเกี่ยวกับการชันสูตรหรือพิสูจน์หลักฐาน ผู้ซึ่งสามารถรวบรวมหลักฐานและวัดค่าต่างๆอย่างรอบคอบ แต่จากนั้นเขาจะต้องตีความหลักฐานต่างๆที่ได้มาและพยายามผูกเข้าให้เป็นเรื่องราว เพื่อให้ได้ข้อสรุปของการชันสูตรหรือการพิสูจน์หลักฐานนั้น “ข้อเท็จจริง” อันเดียวที่ได้นั้นสามารถนำมาผูกเป็นเรื่องที่แตกต่างกันได้มากมายหลายเรื่อง โดยมีพื้นฐานความเชื่อ ความคิดที่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง และสมมติฐานของผู้สืบสวนเองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการได้ข้อสรุปเป็นอย่างมาก ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างของความจำกัดที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องบางเรื่องได้ สมมติว่าสัตว์เลื้อยคลานได้เปลี่ยนเป็นสัตว์ปีกเมื่อหลายล้านปีมาแล้วอย่างที่ทฤษฎีวิวัฒนาการได้อ้างไว้ แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่ร่ำเรียนกันในโรงเรียนไม่เคยสามารถนำมาใช้เพื่อทดสอบความคิดนี้ เพราะไม่มีใครสามารถเฝ้าสังเกตวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นได้ และหากแม้ว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนสัตว์เลื้อยคลานให้เป็นนกได้ในสมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์เดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่แล้วด้วย ขณะเดียวกัน คุณก็ไม่สามารถบังคับให้พระเจ้าทรงต้องเนรมิตสร้างบรรดานกและสัตว์เลื้อยคลานต่างๆอย่างอัศจรรย์ซ้ำอีกครั้ง รวมทั้งกำหนดให้สัตว์เหล่านั้นเกิดลูกหลานตามชนิดของมัน เพียงเพื่อที่คุณจะได้เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้
จากตัวอย่างที่กล่าวมา จะเห็นว่าแนวความคิดทั้งสองต่างก็ตั้งอยู่บนความเชื่อ แต่ละความเชื่อ (ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในวิวัฒนาการหรือความเชื่อในการทรงสร้าง) นั้น มีทั้งข้อโต้แย้งและหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนั้นๆ ความเชื่อทั้งสองมีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันและข้อสังเกตอันเดียวกัน คนกลุ่มที่เชื่อในเรื่องของการทรงสร้างเชื่อมั่นว่าการที่โลกนี้เกิดขึ้นโดยมีพระเจ้าทรงสร้างนั้นมีความเป็นเหตุเป็นผลและเป็นตรรกะ และใช่ว่าแนวคิดตามความเชื่อดังกล่าวขาดหลักฐานสนับสนุน แท้จริงแล้ว มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนความเชื่อของการกำเนิดโลกผ่านการทรงสร้างนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ และเป็นหลักฐานที่สามารถสังเกตได้ในปัจจุบันด้วย
ไม่ได้มีคำตอบสำหรับทุกสิ่งสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้าง
จากที่ได้กล่าว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ยึดทฤษฎีการทรงสร้างนั้น แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่ชัดเจนและจับต้องได้จริงในปัจจุบันที่สนับสนุนความเชื่อของพวกเขา แต่ก็ยังคงมีปัญหาที่ตอบไม่ได้อยู่ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้เกิดขึ้นกับกรณีของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้างเท่านั้น แต่ผู้ที่ยึดทฤษฎีวิวัฒนาการก็เผชิญกับปัญหาที่ตอบไม่ได้เช่นกัน ในแต่ละปี เงินที่ถูกนำมาใช้ในงานวิจัยเพื่อยืนยันทฤษฎีการทรงสร้างนั้นนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินภาษีหลายพันล้านดอลลาร์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อพยายามไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการ
ถึงกระนั้นก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ที่ยึดถือทฤษฎีการทรงสร้างได้ทำงานวิจัยที่สามารถตอบปัญหาที่ดูเหมือนยากบางปัญหาได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ (ซึ่งในกระบวนการนั้น ความคิดและข้อเสนอแนะบางประการที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ยึดทฤษฎีการทรงสร้างได้เคยเสนอไว้อันเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆเหล่านั้นก็ได้ถูกนำไปทบทวน บางครั้งเมื่อผ่านการทบทวนซ้ำ ข้อเสนอแนะบางประการก็ตกไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์)
เมื่อพูดถึงวิวัฒนาการ เราหมายถึงความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ (หรือจะว่าไปก็คือความเชื่อทางศาสนาอย่างหนึ่งนั่นเอง) ที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นมาเองด้วยลักษณะธรรมชาติของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นใด ความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบกลายมาเป็นความมีระเบียบได้ด้วยตัวเอง อนุภาคต่างๆเป็นจุดกำเนิดของดาวเคราะห์ ต้นปาล์ม นกกินปลา และผู้คน โดยไม่มีสิ่งใดเลยที่นอกเหนือจากคุณสมบัติด้านสสารหรือพลังงานของอนุภาคเหล่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นมาของสิ่งเหล่านี้ ทฤษฎีที่อธิบายว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร (หรือที่อธิบายกลไกของวิวัฒนาการ) นั้น อาจถูกตั้งขึ้นหรือล้มเลิกไปหลายครั้งหลายครา แต่สมมติฐานที่ว่าการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนเชื่อมั่นคงอยู่จนทุกวันนี้
บางคนพยายามโยงพระเจ้าให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการวิวัฒนาการ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการปฏิเสธข้อเสนอแนะทั้งหมดที่เป็นไปในทิศทางที่ว่าสิ่งมีชีวิตได้รับการออกแบบหรือสร้างขึ้น แม้แต่นักวิวัฒนาการลัทธิเทวนิยม ซึ่งอ้างว่าเชื่อทั้งในเรื่องของวิวัฒนาการและเชื่อในพระเจ้า ก็ยังเชื่อว่ากระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งต่างๆในโลกและจักรวาลนั้นเกิดขึ้นเองทั้งหมด โดยได้ถือว่า “กระบวนการทรงสร้าง” ที่วิวัฒนาการไปนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่วิวัฒนาการมา สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้ต่อสู้เพื่อการอยู่รอด ได้ทนทุกข์ และได้ล้มตาย โดยพวกที่แข็งแรงได้ทำลายพวกที่อ่อนแอให้ตายจากไปอย่างปราศจากความเมตตา นี่เป็นข้อสรุปความคิดของคนที่พยายามรวมเอาแนวคิดทั้งสองขั้วของวิวัฒนาการกับการทรงสร้างมารวมกันเป็นความเชื่อเดียว
ทำไมเราจึงต้องมาพิจารณาเรื่องนี้กันเล่า?
การที่เราจะเชื่อว่าโลกอุบัติขึ้นเองและต่อจากนั้นได้ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการมา หรือเชื่อว่าโลกถูกออกแบบขึ้นโดยพระผู้สร้างนั้นมีความสำคัญอย่างไร? และการยึดถือความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งข้างต้นนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร? แท้จริงแล้วการที่เราจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ด้วยเหตุผลหลักๆ 2 ข้อ คือ
เหตุผลที่ 1 เพราะแนวคิดวิวัฒนาการเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง
ทุกคนที่ยืนกรานว่าไม่มีพระเจ้านั้นอิงทฤษฎีวิวัฒนาการเพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติโดยไม่มีพระผู้สร้างเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นพื้นฐานสำคัญของความเชื่อหรือมุมมองเกี่ยวกับชีวิตในหลายๆแนวที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เช่น ความเชื่อที่ว่าไม่มีพระเจ้า ความไม่แน่ใจว่ามีพระเจ้าหรือไม่ และความเชื่ออื่นๆอีกที่เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ แนวคิดเช่นนี้มีคติว่า “ในเมื่อไม่มีใครสร้างเรามา ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตเรา ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆแก่เราได้นอกเสียจากตัวเราเอง” ดังนั้น ถ้าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่บันทึกเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสร้างโลกและจักรวาลนั้นได้ถูกปฏิเสธเสียแล้วว่าเป็นเพียงตำนานทางวัฒนธรรม ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผู้ที่ยึดแนวคิดนี้ก็จะปฏิเสธที่จะเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าในพระคัมภีร์ด้วย เช่นคำสั่งที่ว่า ห้ามลักทรัพย์ เป็นต้น และจะถือว่ามนุษย์สามารถทำทุกอย่างตามที่ตนพอใจได้
เหตุผลที่ 2 เพราะแนวคิดวิวัฒนาการตรงกันข้ามกับความเชื่อของศาสนาคริสต์
พระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งหมด ซึ่งชาวคริสต์อ้างว่าเป็นการสำแดงที่เชื่อถือได้จากพระเจ้าเองโดยตรงนั้น มีใจความสำคัญว่าพระเจ้าผู้ที่ได้ทรงสำแดงพระองค์เองผ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ทรงสร้างโลกที่ดีพร้อม ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีความตาย ไม่มีการแก่งแย่ง ไม่มีความรุนแรง ไม่มีความทารุณโหดร้ายหรือการนองเลือด แต่ต่อมาจักรวาลนี้ทั้งสิ้นถูกพระเจ้าสาปแช่ง (เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 3 และพระธรรมโรมบทที่ 8 ในพระคริสตธรรมคัมภีร์) เนื่องจากมนุษย์คนแรกคืออาดัมได้กบฏต่อพระผู้สร้างของเขา ซึ่งการกบฏนี้ถือเป็นความบาป
อย่างไรก็ตาม ความตาย ความทุกข์ทรมาน และอื่นๆ ที่ได้เข้ามาในโลกนั้นจะมีอยู่เพียงชั่วคราว ทั้งนี้เพราะวันหนึ่งโลกนี้จะถูกนำให้กลับคืนสู่สภาพดี (พระธรรมกิจการ บทที่ 3 ข้อ 21 ในพระคริสตธรรมคัมภีร์) ซึ่งไม่ใช่เป็นการกลับไปสู่สภาพที่ทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวไว้ว่าเป็นอยู่เมื่อพันล้านปีก่อน คือสภาพที่เต็มไปด้วยความตาย ความทารุณโหดร้าย และการนองเลือด แต่เป็นการกลับไปสู่สถานะที่ปราศจากความบาปและความตายอย่างที่โลกนี้ได้เคยเป็นในตอนเริ่มแรก


พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระผู้สร้างโลก ผู้ซึ่งได้ถูกส่งมาเกิดในสภาพเนื้อหนัง (คือเป็น “อาดัมที่มาภายหลัง” ตามที่มีคำอธิบายไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์) ได้หลั่งโลหิตที่ปราศจากความผิดของพระองค์ในการตายเพื่อที่จะไถ่โทษมนุษย์หรือนำมนุษย์ที่ผู้ได้ตกลงไปในความบาปที่เชื่อในพระองค์ให้กลับคืนสู่สภาพดี ไม่เพียงแต่เท่านั้น การตายของพระเยซูคริสต์ยังเป็นการปลดปล่อยจักรวาลทั้งหมดจากคำสาปแช่งแห่งความตายและการนองเลือดที่เกิดขึ้นจากการที่อาดัมผู้ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกได้กบฏต่อพระเจ้าอีกด้วย การที่พระเยซูคริสต์ตายเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์และการที่พระเจ้าจะนำทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพดีเป็น “ข่าวประเสริฐ” หรือ “ข่าวดี”
หากเรื่องของวิวัฒนาการเป็นความจริงแล้ว หลักคำสอนทั้งหมดของข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะว่านั่นหมายความว่าบรรพบุรุษของอาดัม คือสัตว์ที่ต่อมามี “วิวัฒนาการ” มาเป็นคนนั้น ก็ต้องใช้กรงเล็บต่อสู้และทำลายล้างกันในโลกแห่งการนองเลือด ซึ่งนั่นก็จะหมายถึงว่าแนวคิดเรื่องที่อาดัมได้ตกลงในความบาปที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์กับคำสาปแช่งที่เป็นผลติดตามมาอันตกอยู่กับสิ่งต่างๆในโลกนั้น เป็นเพียงเรื่องตำนานที่ไม่มีมูลความจริงเท่านั้น
ความจริงของข่าวประเสริฐหรือข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ (ที่ว่าคนทั้งหลายสามารถได้รับการช่วยให้กลับคืนสู่การมีความผูกพันกับพระผู้สร้างของเขา) นั้นขึ้นอยู่กับความจริงเกี่ยวกับข่าวร้ายของการที่อาดัม บรรพบุรุษของเราได้กบฏต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นผลให้ความผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่มีในตอนเริ่มแรกนั้นต้องแตกหักไป พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 15 ข้อ 21-22 ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้อธิบายเกี่ยวกับการที่ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์มีผลลบล้างความตายที่มาจากการไม่เชื่อฟังของอาดัม โดยมีใจความว่า “เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น” นี่เป็นสิ่งที่ผู้บันทึกพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งถือว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้าได้อธิบายไว้ แต่น่าเสียดายที่ว่า ความสงสัยในพระธรรมปฐมกาลนั้น เป็นเหตุให้คนจำนวนมากเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาในพระคริสตธรรมคัมภีร์ส่วนที่เหลือไปด้วย ซึ่งปรากฏออกมาเป็นแนวคิดที่ผสมเอาความเชื่อในพระเจ้าเข้ากับวิวัฒนาการ1 หรือปรากฏออกมาเป็นความไม่เชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหนทางเดียวที่จะนำมนุษยชาติกลับคืนสู่พระเจ้าและให้มนุษย์กลับมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้
แต่เราทราบได้อย่างไรว่าพระธรรมปฐมกาลเขียนขึ้นเพื่อที่จะบอกเราว่าสิ่งต่างๆได้ถูกสร้างขึ้นภายในหกวันที่โลกหมุนไปจริงๆ ไม่ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่น?
ถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะเสนอว่า บางทีพระธรรม “ปฐมกาล” เป็นเรื่องที่หมายความถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรูระดับแนวหน้าของโลกท่านหนึ่ง2ได้กล่าวว่า “ศาสตราจารย์ด้านภาษาฮีบรูในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งหมดที่ท่านรู้จักต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า พระธรรมปฐมกาลบทที่ 1 - 11 ได้ถูกบันทึกขึ้นเพื่อบอกเล่าให้เราทราบถึงเรื่องการทรงสร้างสิ่งต่างๆทั้งปวงที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่นานมานี้ภายในระยะเวลา 6 วันปกติ และเรื่องเหตุการณ์การเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่”
นั่นไม่ได้หมายความว่าเหล่าศาสตราจารย์ทุกคนเชื่อตามนั้น หากแต่ภาษาที่ใช้ในพระธรรมปฐมกาลนั้นบ่งบอกได้ว่าผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ทุกอย่างที่ถูกเขียนขึ้นนั้นหมายความตามที่กล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งแม้กระทั่งเด็กอายุสิบขวบทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ เป็นที่แน่ชัดว่าบางส่วนของพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นได้ถูกเขียนในรูปของนิทานเปรียบเทียบ โคลงกลอน หรือคำอุปมา แต่พระธรรมปฐมกาลไม่ได้ถูกเขียนในลักษณะนี้
อันที่จริงแล้ว ความคิดอื่นๆที่เกี่ยวกับความหมายของพระธรรมปฐมกาล (เช่น ทฤษฎีของการเว้นช่วงเวลาในการทรงสร้าง หรือวันที่ยาวนานกว่าวันปกติ เป็นต้น) นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ แต่เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะทำให้พระคริสตธรรมคัมภีร์เข้ากันได้กับความเชื่ออื่น ๆ (เช่น ความคิดเกี่ยวกับยุคทางธรณีวิทยาที่ยาวนานเป็นล้านปี)
เดี๋ยวก่อน… แล้วซากดึกดำบรรพ์ล่ะ?
คุณอาจถามว่า ถ้าไม่มีการตายและการนองเลือดก่อนสมัยของอาดัม แล้ว ชั้นหินที่ก่อตัวขึ้นในน้ำที่ปรากฏอยู่ทั่วโลกซึ่งมีซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเป็นพันๆล้านตัวทับถมกันอยู่ ซึ่งบ่อยๆในซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้เราจะเห็นหลักฐานของความรุนแรง มะเร็ง และสภาพที่เลวร้ายอื่นๆ ปรากฏอยู่นั้นเล่า หมายความว่าอย่างไร?
แล้วนั่นไม่ใช่หลักฐานที่คุณคาดหวังจะเห็นหรือ ถ้าพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถูกต้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกถูกทำลายโดยการเกิดน้ำท่วมในสมัยโนอาห์หลังจากสมัยของอาดัม? ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลที่มีอยู่นั้น แท้จริงแล้วแสดงถึงการถูกฝังกลบอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และค่อยเป็นค่อยไปดังเช่นที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน ตัวอย่างเช่น มีฟอสซิลของปลานับล้านชิ้นที่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ กระทั่งยังเห็นเกล็ดและครีบอยู่ เป็นต้น ในธรรมชาติ ปลาที่ตายแล้วจะถูกสัตว์พวกที่กินซากสัตว์อื่นฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆและจะเน่าเปื่อยไปอย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่ว่าปลานั้นจะถูกฝังอย่างเร็วและตะกอนโคลนหรือทราย ที่ทับถมแข็งตัวเร็วพอเท่านั้น จึงจะทำให้รูปร่างลักษณะของปลาถูกรักษาให้คงเดิมไว้ได้




แต่ถ่านหินไม่ได้เกิดอย่างช้า ๆ ในแอ่งน้ำเป็นเวลากว่าหลายล้านปีหรือ?
มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าการเกิดถ่านหินนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ไม้ทั้งป่าจำนวนมหาศาลถูกถอนและถูกฝังกลบในเวลาอันสั้น ที่เมืองญาลลอนในมณฑลวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย มีชั้นถ่านหินสีน้ำตาลมากมายที่เต็มไปด้วยท่อนซุงของต้นสนจำนวนมาก ซึ่งเป็นสนชนิดที่ปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่ในแอ่งน้ำ ในบางพื้นที่ได้มีการค้นพบชั้นถ่านหินหนาซึ่งประกอบด้วยละอองเกสรมากกว่าร้อยละ 50 ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งลักษณะเหล่านี้บ่งชี้ว่าชั้นถ่านหินสีน้ำตาลเหล่านี้เกิดมาจากการพัดพาของน้ำ นอกจากนั้น แหล่งถ่านหินในซีกโลกใต้หลายๆบริเวณไม่แสดงร่องรอยของดินที่ป่าไม้เหล่านั้นได้เคยเจริญเติบโตขึ้นบนนั้นแต่อย่างใด3
นักวิจัยประจำห้องปฏิบัติการแห่งชาติอาร์กอนในสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าการที่จะได้ถ่านหินสีดำคุณภาพสูงเป็นผลมาจากกระบวนการดังนี้ คือนำลิกนิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อไม้ มาผสมน้ำและโคลนที่ปรับสภาพด้วยกรด และให้ความร้อนแก่ส่วนผสมนี้ที่อุณหภูมิเพียง 150 องศาเซลเซียสโดยไม่ต้องเพิ่มความดันในหลอดควอตซ์ที่ปิดสนิทซึ่งมีสภาพภายในเป็นสุญญากาศ ในทางธรณีวิทยา ณ อุณหภูมิเท่านี้ถือว่าไม่ร้อนมาก แท้ที่จริงแล้วไม่มีส่วนผสมใดๆที่พิเศษหรือ “ไม่เป็นธรรมชาติ” อยู่เลย กระบวนการเกิดถ่านหินดังกล่าวนี้ไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆ ปี หากแต่ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ถึง 36 สัปดาห์เท่านั้น4
คราวนี้ลองมาพิจารณาหลักฐานจากรอยเชื่อมของชั้นถ่านหิน (coal seam) กันบ้าง รอยเชื่อมของชั้นถ่านหินที่พบปรากฏอยู่มี 2 รูปแบบ คือรูปแบบที่มีลักษณะคล้ายส้อม หรืออาจเป็นรูปแบบที่ต่อกันเกิดเป็นลักษณะตัว Z (ดูแผนภาพ)


เซอร์ เอ็ดจเวอร์ธ เดวิด นักธรณีวิทยาชื่อดังชาวออสเตรเลีย ได้บรรยายไว้ในรายงานของเขาในปี ค.ศ. 1907 ถึงกระบวนการที่ต้นไม้ทั้งต้นกลายเป็นถ่านหินในลักษณะตั้ง (ดังเช่น polystrate fossil ที่แสดงในรูป) คั่นระหว่างรอยเชื่อมของชั้นถ่านหินสีดำที่เมืองนิวคาสเซิล (ประเทศออสเตรเลีย) ปลายล่างของต้นไม้ที่กลายเป็นถ่านหินเหล่านี้ฝังอยู่ในรอยเชื่อมของชั้นถ่านหินชั้นหนึ่งและทอดลำต้นตัดผ่านระหว่างชั้นหินจนยอดของต้นไม้ไปสิ้นสุดในรอยเชื่อมชั้นถ่านหินอีกชั้นหนึ่งด้านบน!

ลองคิดที่จะพยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยกระบวนการทับถมอย่างช้าๆของหนองน้ำสองแอ่งที่แยกจากกันและเกิดขึ้นห่างจากกันในช่วงเวลาที่ยาวนาน จะเห็นได้ชัดว่า แนวคิดที่เข้าข้างการเกิดขึ้นอย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปนั้นจะขัดขวางการที่จะอธิบายปรากฏการณ์การเกิดถ่านหินที่ชัดเจนอยู่ในตัวมันเอง ว่าถ่านหินเกิดจากเหล่าพืชพรรณไม้ถูกถอนรากถอนโคนและถูกฝังกลบอย่างฉับพลันทันใดโดยน้ำท่วมครั้งใหญ่5
เมื่อมีน้ำไหล โดยเฉพาะถ้ามีปริมาณมาก ๆ นั้น สามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่คนส่วนมากมักคิดว่าจะต้องใช้เวลาหลายล้านปีกว่าจะเกิดปรากฏการณ์อย่างนั้นขึ้นได้ รูปชั้นหินที่ภูเขาเซนต์ เฮเลนส์ แสดงหินตะกอนหนาประมาณ 8 เมตร (25 ฟุต) ที่เกิดขึ้นในบ่ายวันเดียว ซึ่งเกิดขึ้นด้วยกันกับการยกตัวเนื่องจากการระเบิดของภูเขาไฟเซนต์ เฮเลนส์ ในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1980 เมื่อภูเขาไฟลูกนี้ประทุขึ้นและระเบิดในเวลาต่อมานั้น ได้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินเลื่อน โคลนไหล และการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะอื่นๆ และมีชั้นหินตะกอนทับถมกันหนากว่า 180 เมตร (600 ฟุต) ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่การระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้ครั้งแรกเป็นต้นมา6

ในรัฐเดียวกัน มี “ชานเนลด์ สเคบแลนด์” ที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากในปัจจุบันยอมรับว่าเกิดจากการกัดเซาะโดย “น้ำท่วมอย่างเขื่อนพังทลาย” ครั้งใหญ่ในยุคน้ำแข็ง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่า “แกรนด์ คูลี” (ดูรูป) ซึ่งเป็นหุบผายาว 80 กิโลเมตร (50 ไมล์) กว้าง 1.5-10 กิโลเมตร (1-6 ไมล์) และลึก 275 เมตร (900 ฟุต) เกิดจากการกัดเซาะของน้ำผ่านหินแข็งแกรนิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมหนึ่งหรือมากกว่า 1 ครั้งจากทะเลสาบแหล่งเดียว
นักธรณีวิทยาบางคน (ซึ่งหลายคนในจำนวนนี้ยึดแนวคิดว่าโลกเกิดขึ้นนับล้านๆปีมาแล้ว) ปัจจุบันนี้ได้หันมากล่าวว่า “แกรนด์แคนยอน” เกิดจากการเกิดน้ำท่วมใหญ่ในลักษณะคล้ายกับที่ได้กล่าวนี้ และไม่ได้เป็นผลมาจากการที่แม่น้ำโคโลราโดกัดเซาะอย่างช้า ๆ เป็นเวลาหลายล้านปีแต่อย่างใด
เหตุการณ์น้ำท่วมในสมัยของโนอาห์ที่ระดับน้ำท่วมยอดเขาเป็นแรมปี (ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลในพระคริสตธรรมคัมภีร์) นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยกตัวและแยกตัวของเปลือกโลก โดยที่น้ำ ซึ่งมีแมกมารวมอยู่ด้วยนั้น ได้ประทุออกมาเป็นเวลาหลายเดือน (อย่างที่กล่าวไว้ในพระธรรมปฐมกาล บทที่ 7 ข้อ 11 ว่า “น้ำจากบาดาลก็พลุ่งขึ้นมา”) เหตุการณ์น้ำท่วมโลกอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่มากเกินกว่าจะคาดคิดได้
ฟอสซิลแสดงถึงวิวัฒนาการหรือไม่?
ดาร์วินกล่าวไว้ ซึ่งจริงทีเดียวว่า ถ้าทฤษฎีของเขาถูกต้อง น่าจะมีฟอสซิลที่แสดงลักษณะกึ่งกลางระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดจำนวนมาก แต่ยกตัวอย่าง ถ้าขาหน้าของสัตว์เลื้อยคลานกลายเป็นปีกของนกได้ ทำไมเราจึงไม่พบฟอสซิลที่แสดงระยะเหล่านี้ อย่างเช่นสัตว์ที่มีขาส่วนหนึ่งและปีกส่วนหนึ่ง หรือพวกที่มีเกล็ดส่วนหนึ่งและมีขนส่วนหนึ่ง ซึ่งลักษณะหรืออวัยวะหนึ่งกำลังจะกลายไปเป็นลักษณะหรืออวัยวะอื่นในลำดับต่อไปเล่า?
ดาร์วินกล่าวไว้ว่า การที่ไม่พบสัตว์ที่มีลักษณะครึ่งๆกลางๆซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดนั้น เป็นหลักฐานที่คัดค้านทฤษฎีของเขาที่ชัดเจนและสำคัญที่สุด หนึ่งร้อยยี่สิบปีต่อมา ดร. เดวิด รอพ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า จำนวนฟอสซิลของสัตว์ที่มีลักษณะครึ่งๆกลางๆระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่ขาดหายไปนี้ “ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เคยมีอยู่มากนัก” ท่านยังกล่าวอีกว่า “เรามีตัวอย่างที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งน้อยยิ่งกว่าที่เคยมีในยุคของดาร์วินเสียอีก”7
ดร. คอลิน แพทเทอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านฟอสซิลประจำพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ (แผนกประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่สำคัญมากเล่มหนึ่ง แต่เมื่อมีคนถามว่าทำไมท่านจึงไม่นำรูปของสัตว์ที่มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิด (ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนสถานะ) มาแสดงในหนังสือเล่มนั้น ท่านชี้แจงว่า
“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำวิจารณ์ของท่านที่ว่าไม่ได้มีการนำรูปที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการมาแสดงไว้ในหนังสือของผม แต่ถ้าผมรู้ว่ามีสัตว์ที่มีสถานะอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลหรือสัตว์เป็นๆก็ตาม ผมจะต้องใส่รูปของมันลงไปในหนังสือของผมอย่างแน่นอน จากการที่ท่านแนะนำว่าควรใช้ศิลปินมาช่วยสร้างรูปให้เห็นภาพของการเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น แต่แล้วศิลปินนั้นจะไปหาข้อมูลสำหรับวาดรูปออกมาได้จากที่ไหน? พูดกันตามตรง ผมไม่สามารถหารูปมาใส่ให้ได้ และถ้าผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศิลปินที่จะวาดรูปใส่ลงไปแล้วนั้น มันจะไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเขวไปหรือ?”
“ผมเขียนเนื้อหาของหนังสือของผมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (ในหนังสือของเขาได้กล่าวถึงความเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสิ่งมีชีวิตไว้บ้าง - ผู้แต่ง) ถ้าให้ผมเขียนมันตอนนี้ ผมคิดว่าเนื้อหาคงต้องต่างไปจากเดิม ผมเชื่อในหลักการของการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เพราะอิทธิพลของดาร์วิน แต่เป็นเพราะความเข้าใจของผมเองเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ที่ทำให้เชื่ออย่างนั้น ถึงกระนั้นมันก็ยากที่จะค้าน โกลด์ (สตีเฟน เจ โกลด์ ผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟอสซิลที่มีชื่อเสียง) และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ชาวอเมริกันท่านอื่น ผู้ที่ได้กล่าวว่าไม่มีฟอสซิลที่แสดงลักษณะกึ่งกลางที่กำลังเปลี่ยนสถานะ ในฐานะที่ผมเป็นนักบรรพชีวินวิทยา ผมง่วนอยู่กับปัญหาเชิงปรัชญาที่จะต้องบ่งชี้รูปร่างดั้งเดิมในทะเบียนฟอสซิล และที่ท่านกล่าวว่า “อย่างน้อยที่สุดผมควรแสดงรูปสักรูปหนึ่งของฟอสซิลที่เป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด” ผมขอบอกตามตรงว่า ไม่มีฟอสซิลอย่างนั้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียวที่นำมาเป็นหลักฐานได้”8
ถ้าอย่างนั้นแล้วเรามีอะไรเล่าที่เป็นหลักฐานสนับสนุนความเชื่อในการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป? ความเชื่อในวิวัฒนาการคาดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตพวกที่แสดงลักษณะกึ่งกลางระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดเป็นล้านๆรูปแบบ นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางคนอ้างว่าสิ่งมีชีวิตอย่างที่ว่านั้นมีอยู่บ้าง อาจจะไม่มากนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกคนอื่นๆก็ได้ปฏิเสธฟอสซิลชิ้นที่ว่านั้นบางชิ้นหรือบางคนก็ปฏิเสธทั้งหมด

สิ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้กันมากนักก็คือ ชิ้นฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจที่เรียกว่า อาร์คีออพเธอริกซ์ มักถูกใช้เป็นตัวอย่างของรูปแบบที่กำลังเปลี่ยนแปลงระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก (ทั้งนี้เพราะมีรูปร่างผสมของสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิด) ชิ้นฟอสซิลนี้ไม่ได้แสดงโครงสร้างสำคัญที่แสดงการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย อันขัดแย้งกับเรื่องของสถานะ “ที่กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง” อย่างยิ่ง ขนก็เกิดขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว และปีกก็เป็นปีกที่สมบูรณ์ มันมีเล็บเท้าที่งุ้มไปทางด้านหลัง และลักษณะของเท้าก็โค้งอย่างเท้าของนกที่กำลังยึดเกาะกับท่อนหรือกิ่งไม้ และเป็นไปไม่เลยได้ที่จะเป็นอย่างที่บางคนได้เอามาปะติดปะต่อว่ามันเคยเป็นไดโนเสาร์ที่วิ่งได้และมีขนอย่างนกมาก่อน9
สัตว์บางชนิดที่ยังพบอยู่ในปัจจุบัน เช่น ตุ่นปากเป็ด ก็มีลักษณะผสมจากลักษณะต่างๆที่พบเป็นลักษณะปกติของสิ่งมีชีวิตในกลุ่มอื่น สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่แปลกประหลาดนี้ (ซึ่งมีขนเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีปากเหมือนเป็ด มีหางเหมือนบีเวอร์ มีต่อมพิษเหมือนงู วางไข่เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน แต่ว่าเลี้ยงลูกด้วยนม) เป็นตัวอย่างที่ดีของสัตว์ที่มีลักษณะผสม อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สัตว์ที่มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดใดๆเลย
การที่ไม่พบหลักฐานของฟอสซิลในรูปแบบที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดนั้นยังได้ถูกนำมาใช้ในการอธิบาย “วิวัฒนาการของมนุษย์” อีกด้วย เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่มีการตีฆ้องร้องป่าวเป็นการใหญ่ทุกครั้งที่มีการค้นพบสัตว์ที่คิดกันว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ทั้งที่คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดไม่คงที่และเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้เป็นการยากที่จะติดตาม แต่อย่างน้อยในศตวรรษที่ผ่านเราได้เห็นว่ามีการอ้างถึง “บรรพบุรุษ” ของสิ่งมีชีวิตที่เคยได้รับการตีฆ้องร้องป่าวเป็นการใหญ่ในครั้งหนึ่งนั้นค่อยๆตกไปอย่างเงียบๆทีละอันๆ เมื่อสิ่งใหม่ถูกค้นพบและมาแทนที่

ปัจจุบันนี้ ได้มีการพูดถึงพวกสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์กันมาก ซึ่งจากกลุ่มนี้ ฟอสซิลที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือฟอสซิลที่ชื่อ “ลูซี่” ดร. ชาร์ลส์ ออกซ์นาร์ด หนึ่งในบรรดานักกายวิภาควิทยาที่ยึดทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ทำการตรวจวิเคราะห์ขนาดของส่วนต่างๆของฟอสซิลโดยการวิเคราะห์ทางคอมพิวเตอร์แบบ “multivariate analysis” (ซึ่งความเชื่อที่มีอยู่ก่อนเกี่ยวกับบรรพบุรุษไม่ได้มีผลต่อผลการวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้) ผลสรุปจากการวิเคราะห์ก็คือ ท่านเองก็ไม่ได้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์
ดร. ชาร์ลส์ ออกซ์นาร์ด ได้กล่าวว่า แม้ว่าในตอนแรกมีการคิดกันหรืออ้างกันว่า สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มใกล้เคียงกับฟอสซิล “ลูซี่” นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างลิงกับมนุษย์ แต่ความจริงแล้วพวกมันแตกต่างจากทั้งมนุษย์และลิงแอฟริกันมากกว่าที่มนุษย์และลิงแอฟริกันแตกต่างกัน สัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ดังกล่าวมีเอกลักษณ์อันเป็นเอกเทศไม่เหมือนใคร ดร. ออกซ์นาร์ด ยังชี้แจงว่า มีผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่เห็นด้วยว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุษย์ โดยที่คนเหล่านี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนที่ค้นพบฟอสซิลเลย การทำสแกนกายวิภาคด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (CAT scan) ของซากโครงกระดูกซึ่งเคยหุ้มอวัยวะการทรงตัว ทำให้ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าวไม่ได้เดินโดยมีลำตัวตั้งขึ้นมาโดยเป็นนิสัยอย่างที่หลายคนยังยืนกรานอยู่ สิ่งนี้สอดคล้องกับการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ที่ว่าข้อต่อของลูซี่มีระบบล็อคที่ทำให้ลูซีสามารถเดินสองขาได้เหมือนลิงชิมแพนซีและกอริลลา
แล้ว “โฮโม อิเร็คตัส” ล่ะ? โครงกระดูกของ โฮโม อิเร็คตัส นั้นน่าจะเป็นมนุษย์จริง ๆ10 ที่มีชีวิตอยู่หลังจากน้ำท่วมและมีความแตกต่างของกระดูกตามเผ่าพันธุ์แล้ว การที่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันมีลักษณะกระดูกที่แตกต่างกันมากนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งจะเห็นได้จากกระดูกของสุนัขที่ต่างชนิดกันด้วย เช่นกระดูกของสุนัขพันธุ์ชิวาวามีความแตกต่างจากกระดูกของสุนัขพันธุ์เกรทเดน ความแตกต่างดังกล่าวสามารถถูกคัดเลือกให้เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตเพียงภายในไม่กี่รุ่นเท่านั้น ความกดดันที่นำให้เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างฉับพลันหลังน้ำท่วมโลกและการแยกกันของผู้คน (หลังจากที่พระเจ้าทำให้ผู้คนกระจัดกระจายไปเนื่องจากเหตุการณ์หอบาเบล) ออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆเป็นหมู่ชนกลุ่มต่างๆนั้นอำนวยให้เกิดสภาวะเหมาะสมที่ทำให้คนแยกจากกันอย่างรวดเร็วและส่งผลให้ปรากฏความแตกต่างทางพันธุกรรม (ที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งจะเกิดขึ้นแล้ว) ที่โดดเด่นขึ้นมา ความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์อย่างนั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นกับลักษณะของกระดูกด้วย
หากจะเปรียบเทียบกับความหลากหลายอย่างมากที่เห็นได้ในลักษณะอื่นๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ความแตกต่างระหว่างโครงกระดูกของ “อิเร็กตัส” และโครงกระดูกของมนุษย์อื่น ๆ นั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบกันว่า พวก “นีอันเดอร์ทัล” (ที่โดยเฉลี่ยมีสมองใหญ่กว่าที่ประชากรมนุษย์ในปัจจุบันมี) ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์ “ยุคใหม่” มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่คนละยุคกับมนุษย์อย่างที่เคยเข้าใจ
นอกจากนั้นยังมีหลักฐานจากเครื่องมือที่พบบนเกาะแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซียที่พบด้วยกันกับกระดูกของสัตว์จำพวกช้างโบราณชนิดหนึ่งซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว การพบเครื่องมือเหล่านี้ทำให้นักวิวัฒนาการท่านหนึ่งคือ ดร. อลัน ธอร์น ตั้งข้อเสนอว่า “เหล่าบรรพบุรุษยุคก่อนมีมนุษย์” เหล่านี้มีความสามารถในการเดินเรือและเทคโนโลยี ท่านกล่าวในปี ค.ศ. 1993 ว่า พวกนั้นไม่ใช่ (หรือก็คือไม่น่าจะถูกเรียกว่า) โฮโม อิเร็กตัส พวกเขาเป็นมนุษย์11
ถ้าใครจะใช้บรรทัดฐานของเวลาและวิธีการจำแนกสิ่งมีชีวิตที่กำหนดโดยนักวิวัฒนาการและลองนำมาพลอตกราฟการค้นพบฟอสซิลที่ถือเป็นประเภทมนุษย์ทั้งหมด จะพบได้ทันทีว่าความคิดเรื่องลำดับการวิวัฒนาการเป็นความคิดที่ไม่มีที่ไปที่มาและไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย12
เราเห็นวิวัฒนาการเกิดขึ้นหรือไม่?
ถ้าถามว่า แล้วเราเห็นวิวัฒนาการเกิดขึ้นหรือไม่? คำตอบก็คือ “ไม่” แม้ว่าเราเห็นความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในสิ่งมีชีวิต ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นวิวัฒนาการ เรื่องนี้อธิบายได้ดังนี้ คือ ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีโปรแกรม (คือชุดคำสั่ง ซึ่งเป็นเหมือนเป็นพิมพ์เขียวหรือสูตรอาหาร) ที่กำหนดว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด เช่นจะเป็นจระเข้หรือต้นอะโวคาโด สำหรับมนุษย์ โปรแกรมหรือชุดข้อมูลดังกล่าวจะกำหนดว่าคนๆนั้นจะมีตาสีน้ำตาลหรือสีฟ้า ผมตรงหรือผมหยักศก และกำหนดลักษณะอื่น ๆ อีกมาก ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในโมเลกุลสายยาวที่เรียกว่า “ดีเอ็นเอ”13

ทฤษฎีวิวัฒนาการเสนอแนวคิดในลักษณะที่ว่า สิ่งมีชีวิตที่ง่าย ๆ เช่นอะมีบาได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนอย่างม้า แม้ว่าสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ถือว่ามีโครงสร้างเรียบง่ายที่สุดก็ยังมีความสลับซับซ้อน แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้มีข้อมูลทางพันธุกรรมที่จะเทียบเท่ากับจำนวนข้อมูลที่มีในม้าตัวหนึ่งได้ พวกมันไม่มีข้อมูลเฉพาะสำหรับสร้างตา หู เลือด สมอง กีบเท้า และกล้ามเนื้อ ดังนั้น การที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากอะมีบาไปเป็นม้าได้ (ดูแผนภาพที่แสดงในลำดับถัดไปประกอบ) จะต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ อีกหลายขั้นมาก อีกทั้งในแต่ละขั้นยังต้องมีการเพิ่มข้อมูลเฉพาะลงไป ที่ล้วนเป็นข้อมูลใหม่ที่มีรหัสสำหรับโครงสร้างใหม่และหน้าที่ใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งยังใช้การได้มากขึ้น

ถ้าเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของการเพิ่มขึ้นของข้อมูลแบบที่ว่านั้นในจำนวนที่มากพอ มันอาจทำให้เชื่อได้บ้างว่าปลาอาจเปลี่ยนไปเป็นปราชญ์ได้ ถ้าให้เวลานานเพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เราสังเกตเห็นได้นั้น เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยมาก และไม่มีกรณีใดเลยที่มีการเพิ่มข้อมูลขึ้นมา มีแต่การลดลงของข้อมูล หรืออาจกล่าวได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างเหล่านี้มันกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทิศทางที่จะนำมาใช้ในการสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมต่อไป
การคัดเลือกตามธรรมชาติไม่เหมือนกับวิวัฒนาการ
ในแง่หนึ่งเราอาจพูดได้ว่า สิ่งมีชีวิตถูกกำหนดให้ส่งต่อข้อมูลของมันเพื่อที่จะให้มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับตัวมันเกิดขึ้นมา ดีเอ็นเอของผู้ชายถูกคัดลอกและส่งต่อในรุ่นต่อไปผ่านเซลล์อสุจิ และของผู้หญิงถูกคัดลอกและส่งต่อผ่านเซลล์ไข่ โดยวิธีนี้ ข้อมูลของแม่และพ่อก็ถูกคัดลอกไว้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไป ในเซลล์ของเราแต่ละคนมีคู่สายดีเอ็นเอที่ยาวขนานกันที่เป็น “สายของข้อมูล” อยู่ โดยส่วนหนึ่งมาจากแม่ และส่วนหนึ่งมาจากพ่อ14 (ลองคิดเปรียบเทียบกับเส้นเชือกที่มีข้อมูลบันทึกอยู่ในรูปของรหัสย่อซึ่งหากจะอ่านจะต้องถอดรหัสออกมา ในทำนองเดียวกันดีเอ็นเอจะต้องถูก “แปล” ออกมาด้วยกลไกอันซับซ้อนของเซลล์)

รหัสพันธุกรรมของพ่อแม่แต่ละคนจะถูกคัดลอกออกมาทีละครึ่ง ซึ่งในแต่ละครั้งก็เป็นครึ่งคนละส่วน ไม่เช่นนั้นลูกๆที่เกิดมาในครอบครัวเดียวกันก็จะต้องเหมือนกันหมด การรวมกันของข้อมูลจากพ่อและแม่ในแบบที่ต่างกันไปในแต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดความหลากหลายเกิดขึ้นในประชากรหนึ่งๆ ทั้งในคน พืช และสัตว์
ลองพิจารณาตัวอย่างง่ายๆตัวอย่างหนึ่ง สุนัขครอกหนึ่งเกิดจากพ่อแม่คู่หนึ่งซึ่งมีขนยาวปานกลาง แต่ลูกของมันบางตัวมีขนยาวกว่าพ่อแม่และบางตัวอาจขนสั้นกว่าพ่อแม่ แต่กระบวนการการเกิดความหลากหลายตามปกติอย่างนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีข้อมูลใหม่ทางพันธุกรรมแต่อย่างใด ข้อมูลนั้นมีอยู่แล้วในพ่อแม่คู่นั้น ดังนั้นถ้าผู้ที่ผสมพันธุ์สุนัขจะนำเอาตัวที่มีขนยาวกว่าตัวอื่นๆจากครอกนั้นมาผสมกันให้เกิดลูกออกมา แล้วนำตัวที่ขนยาวที่สุดในบรรดาลูกที่เกิดมานั้นมาผสมกันต่อไปอีก และทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ต้องแปลกใจเลยว่าวันหนึ่งจะมีสุนัขขนยาว “พันธุ์ใหม่” เกิดขึ้นมา ซึ่งลูกๆที่จะเกิดต่อไปนั้นจะมีขนยาว แต่ทั้งหมดนี้ “ไม่มีข้อมูลใหม่ทางพันธุกรรม” เกิดขึ้น มันเป็นเพียงแค่การที่ผู้ที่ผสมพันธุ์สุนัขนั้นเลือกเอาเฉพาะตัวที่ต้องการออกมา (ตัวที่มีลักษณะที่เหมาะที่สุดในความคิดของเขาที่น่าจะให้มันถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมต่อไป) และไม่เลือกตัวอื่นๆ
การคัดเลือกจะไม่ทำให้ความยาวของสายดีเอ็นเอที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเมื่อยีนที่ควบคุมลักษณะการมีขนยาวได้ถูกถ่ายทอดไปมากๆเข้า มันก็จะไปแทนที่ยีนบางตำแหน่งที่เคยมีซึ่งควบคุมลักษณะการมีขนสั้น ดังนั้นสุนัขขนยาวจะมีข้อมูลทางพันธุกรรมน้อยลงกว่าบรรพบุรุษของมันที่มีขนยาวปานกลาง ซึ่งมีข้อมูลทางพันธุกรรมของทั้งลักษณะขนสั้นและขนยาวอยู่ (ดูแผนภาพ)

“ธรรมชาติ” สามารถ “คัดเลือก” บางลักษณะและทิ้งบางลักษณะไปได้เช่นเดียวกัน ในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ (เช่นในพื้นที่ที่อากาศหนาวจัด) สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะบางอย่าง (เช่น สุนัขขนยาว) จะมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอยู่รอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มีลักษณะเหมือนมันต่อไปมากกว่าพวกที่มีลักษณะแบบอื่น การคัดเลือกทางธรรมชาติสามารถคัดเลือกให้มีข้อมูลทางพันธุกรรมบางอย่างเหนือกว่าข้อมูลอื่น และสามารถลบข้อมูลทางพันธุกรรมบางอย่างทิ้งไป แต่ไม่สามารถสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาได้
ในทฤษฎีวิวัฒนาการนั้น สิ่งที่มีบทบาททำให้เกิดข้อมูลใหม่ขึ้นคือ การกลายพันธุ์ ซึ่งหมายความถึงความผิดพลาดที่ควบคุมไม่ได้ที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม อันเกิดขึ้นในขณะที่ข้อมูลทางพันธุกรรมถูกคัดลอกไป ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นและถูกถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นหลัง เนื่องจากรุ่นหลังๆที่เกิดขึ้นนั้นคัดลอกข้อมูลจากข้อมูลที่มีความผิดพลาดอยู่เดิมแล้ว ดังนั้นความผิดพลาดจึงถูกถ่ายทอดต่อไป และในรุ่นต่อๆมาบางรุ่นก็เกิดความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งขึ้นอีก ดังนั้นลักษณะผิดปกติที่เกิดจากการกลายพันธุ์นั้นจึงมีแนวโน้มที่จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะอย่างนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นปัญหาการเกิดการกลายพันธุ์สะสมหรือภาระทางพันธุกรรม
ลักษณะผิดปกติทางพันธุกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในมนุษย์เป็นจำนวนนับพันกรณี ซึ่งสังเกตได้จากโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้น โรคเหล่านี้ได้แก่ โรคโลหิตจาง, ซิสติกไฟโบรซิส, ทาลัสซีเมีย, ฟีนีลเคโทนูเรีย เป็นต้น มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรหัสพันธุกรรมซึ่งมีความซับซ้อนมาก15โดยควบคุมไม่ได้นั้นเป็นสาเหตุของโรคและความผิดปกติของการทำงานของส่วนต่างๆของร่างกาย
แล้วการกลายพันธุ์ที่เป็นประโยชน์ล่ะ?
นักวิวัฒนาการรู้ว่าการกลายพันธุ์นั้นอาจก่อให้เกิดโทษหรือเป็นเพียงแค่สัญญาณทางพันธุกรรมที่ไม่มีความหมายอะไรเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของพวกเขาทำให้เขาต้องคิดว่าน่าจะมีการกลายพันธุ์ที่เป็นไปในทางที่ดีเกิดขึ้นแล้วบ้าง แต่ในขณะนี้มีกรณีการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่กรณีเท่านั้นที่ทราบกันว่ามันช่วยให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถอยู่รอดได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อมบางสภาพซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นการกลายพันธุ์ที่มีประโยชน์หรือก่อให้เกิดผลดี แต่ไม่มีสักกรณีเดียวที่เกิดขึ้นโดยมีการพัฒนาในแง่ของการมีข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเรื่องการกลายพันธุ์ที่อาจมีประโยชน์ในกรณียกเว้นเพียงไม่กี่กรณีนี้จึงไม่ได้ช่วยสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการแต่อย่างใด

ปลาที่อาศัยอยู่ในถ้ำคงจะสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นถ้าการกลายพันธุ์ทำให้มันสูญเสียตาไป (ก็ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์ที่จะมีตาเมื่อไม่มีแสงอยู่แล้ว) เพราะว่าเมื่อไม่มีตา ปลาเหล่านี้ก็จะไม่ต้องมีโรคเกี่ยวกับตาหรือมีการบาดเจ็บของตา หรือพวกแมลงปีกแข็งที่ไม่มีปีกเสียเลยคงจะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าพวกที่มีปีกถ้าต้องอยู่บนก้อนหินในทะเลที่มีลมแรงเพราะว่ามันจะไม่ถูกพัดตกลงไปและจมน้ำตายในทะเล แต่ว่าการสูญเสียตาและการสูญเสียปีกหรือความผิดพลาดของข้อมูลที่มีรหัสสำหรับการสร้างปีกก็ยังเป็นความไม่สมประกอบ ถือเป็นความพิการของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่ได้16
ผีเสื้อกลางคืนชีปะขาว —
การหลอกลวงที่ถูกเปิดเผย
ผีเสื้อกลางคืนชีปะขาวที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ
ภาพแสดงการเกาะอยู่บนต้นไม้

ต้นไม้ที่สีเข้มขึ้นเนื่องจากมลภาวะหมายถึงว่า ผีเสื้อกลางคืนสีเข้ม ซึ่งขณะนี้พรางตัวได้ดีขึ้นจากการถูกนกจับกินในเวลากลางวันนั้นสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าพวกที่มีสีอ่อน อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ได้ถูกจัดว่าเป็นนิทรรศการชั้นยอดที่แสดงการวิวัฒนาการมาเป็นเวลาอันยาวนาน แม้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้แสดงเพียงการคัดเลือกตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลทางพันธุกรรมใหม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็ถูกเปิดโปงออกมาแล้วเพราะว่าจริงๆแล้วผีเสื้อกลางคืนไม่ได้เกาะอยู่บนต้นไม้ในตอนกลางวัน แต่ว่ามีการเอาผีเสื้อกลางคืนที่ตายแล้ว มาติดไว้บนต้นไม้เพื่อที่จะได้มีภาพถ่ายที่ “พิสูจน์การเกิดวิวัฒนาการ” (ดู C. Wieland, ‘ลาก่อนผีเสื้อกลางคืนลายฝุ่นพริกไทย : ตัวอย่างชั้นสูงของทฤษฎีวิวัฒนาการถูกสอยล่วงลงมา’, จากวารสาร Creation ฉบับที่ 21 (เล่มที่ 3) หน้า 56 ปี ค.ศ. 1999)
ความผิดปกติดังกล่าว แม้ว่าจะมีประโยชน์ถ้าพิจารณาเพียงในแง่ของการอยู่รอด แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเราจะเห็นตัวอย่างของการมีข้อมูลทางพันธุกรรมเพิ่มขึ้นได้จากที่ไหนที่มีรหัสใหม่สำหรับหน้าที่ใหม่ โปรแกรมการทำงานใหม่ หรือโครงสร้างที่มีประโยชน์โครงสร้างใหม่? มันไม่มีประโยชน์ที่จะมองไปยังเรื่องที่แมลงมีความต้านทานต่อยาฆ่าแมลง เนื่องจากในเกือบทุกกรณี17 ข้อมูลทางพันธุกรรมสำหรับความต้านทานยาฆ่าแมลงนั้นมีอยู่แล้วในแมลงบางตัวในประชากรแมลงแม้ก่อนที่จะมีการคิดค้นยาฉีดฆ่าแมลงเสียอีก
ลองมาพิจารณาตัวอย่างของยุงกันบ้าง เมื่อยุงที่ไม่ทนต่อยาฆ่ายุงในประชากรยุงถูกฉีดด้วยดีดีที และพวกที่เหลืออยู่นั้นก็มีลูกหลานเกิดขึ้นมา ข้อมูลทางพันธุกรรมบางอย่างที่มีอยู่ในประชากรยุงส่วนใหญ่ (ซึ่งตายไปแล้วจากการที่ถูกฉีดด้วยยาฆ่ายุง) จะไม่ปรากฏในประชากรส่วนน้อยที่มีชีวิตรอดอยู่อีกต่อไป ดังนั้นลักษณะดังกล่าวจึงหายไปจากประชากรนั้นอย่างถาวร18
เมื่อเรามองถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตกทอดกันมาซึ่งเกิดขึ้นจริงๆในสิ่งมีชีวิต เราจะเห็นว่าข้อมูลทางพันธุกรรมนั้นถ้าไม่คงอยู่เหมือนเดิม (โดยที่รวมกันในลักษณะที่แตกต่างกันไป) ก็จะเกิดความผิดพลาดหรือไม่ก็หายไป (เช่นเกิดการกลายพันธุ์หรือสูญหายไปจากโมเลกุลทางพันธุกรรม) แต่เราไม่เคยพบสิ่งใดๆที่แสดงถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงโดยวิวัฒนาการ19ไปในทางที่ดีขึ้น
ลองคิดดู…
แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดว่าจะเกิดขึ้นหรือ เมื่อมีการถ่ายทอดข้อมูล? เรารู้ได้จากทั้งวิทยาศาสตร์ด้านสารสนเทศและจากสามัญสำนึกว่าเมื่อข้อมูลถูกถ่ายทอดต่อๆกันไป (อย่างที่เกิดขึ้นในการสืบพันธุ์) นั้น ข้อมูลมีแต่จะคงอยู่เท่าเดิมหรือไม่ก็ลดน้อยลงไป และจะมีสัญญาณที่แปลไม่ได้เพิ่มมากขึ้น20

ในสิ่งต่างๆทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ข้อมูลไม่เคยมีการเพิ่มขึ้นมาได้เอง ดังนั้นถ้าคุณพิจารณาสิ่งมีชีวิตในโลกโดยรวม ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดนั้นลดลงไปตามกาลเวลาเมื่อมีการคัดลอกข้อมูลต่อๆกันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ดังนั้นถ้าใครคนหนึ่งจะมองย้อนกลับไป จะพบว่ายิ่งเมื่อถอยย้อนไปนานขึ้น ข้อมูลทางพันธุกรรมก็ยิ่งต้องมีมากขึ้น แต่เนื่องจากว่าไม่มีใครคิดว่าเราจะสามารถย้อนกลับไปเรื่อยๆตลอดไปได้ (เพราะว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนที่เคยมีชีวิตอยู่ก่อนกำเนิดของเวลา) จึงทำให้เห็นว่าจะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งเมื่อข้อมูลทางพันธุกรรมอันซับซ้อนนี้ได้อุบัติขึ้น
ถ้าพิจารณาถึงสสาร หากปล่อยมันไว้เฉยๆ จะไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อมูลทางพันธุกรรมเพิ่มขึ้น ทางเดียวที่จะอธิบายถึงการมีข้อมูลทางพันธุกรรมมากขึ้นคือว่า ณ จุดหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ “นอกระบบของโลก” ได้ประกอบสิ่งต่างๆเข้าด้วยปัญญา (เหมือนกับที่คุณกำลังแต่งประโยคสักประโยคหนึ่ง) และออกแบบเป็นบรรดาพืชและสัตว์ต้นแบบตามชนิดของมัน เหล่าต้นตระกูลของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันจะต้องถูกออกแบบขึ้นอย่างอัศจรรย์ (เหนือธรรมชาติ) เนื่องจากว่ากฎธรรมชาติไม่อาจสร้างข้อมูลทางพันธุกรรมขึ้นมาได้
คำอธิบายข้างต้นนี้ตรงกับข้อพระธรรมในปฐมกาลที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆให้เกิดลูกหลาน “ตามชนิดของมัน” เช่น สุนัขชนิดหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นโดยมีข้อมูลทางพันธุกรรมจำนวนมากที่มีความหลากหลายอยู่ โดยที่ไม่มีความผิดพลาดทางพันธุกรรมในตอนเริ่มต้นเลยนั้น สามารถที่จะกลายเป็นสุนัขสายพันธุ์ต่างๆได้ง่ายๆจากการผสมของรหัสพันธุกรรม กลายเป็นสุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก หรือสุนัขสัตว์ล่าเนื้อ และสุนัขพันธุ์อื่นๆ
การคัดเลือกตามธรรมชาติสามารถที่จะคัดเลือกและแยกข้อมูลทางพันธุกรรมนี้ (แต่ไม่สามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาได้) อีกตัวอย่างหนึ่งที่เราเห็นได้คือยุง ซึ่งถึงแม้ไม่มีข้อมูลทางพันธุกรรมใหม่เพิ่มเข้าไปเลยในบรรดายุงที่สืบทอดเชื้อสายกันมา (ซึ่งนั่นก็คือ ไม่มีวิวัฒนาการ) แต่ในบรรดายุงด้วยกันก็ยังมีความแตกต่างที่หลากหลายมากจนทำให้บางชนิดถูให้อยู่ต่างสปีชีส์กันออกไป
มีตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการของการคัดเลือกและแยกข้อมูลทางพันธุกรรมนี้ได้ดีขึ้นคือเรื่องของการคัดเลือกพันธุ์สุนัข วิธีที่จะทำให้ประชากรสุนัขลูกผสมที่ถูกผสมข้ามพันธุ์จากพันธุ์ที่แตกต่างกันอย่างมากลดจำนวนลงได้นั้นสามารถทำได้โดยการเลือกผสมให้เกิดเป็นสุนัขเลี้ยงพันธุ์ย่อยๆ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็จะมีข้อมูลทางพันธุกรรมของตัวเริ่มแรกติดมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะผสมให้ได้สุนัขลักษณะพันธุ์เกรทเดนโดยเริ่มต้นจากสุนัขพันธุ์ชิเฮาเฮา เพราะว่าข้อมูลทางพันธุกรรมสำหรับพันธุ์เกรทเดนได้หายไปจากประชากรสุนัขพันธุ์ชิเฮาเฮาแล้ว

ในทำนองเดียวกัน ต้นตระกูลของสัตว์พวกช้างก็อาจจะถูก “แยก” (โดยกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับข้อมูลทางพันธุกรรมที่มีอยู่) ออกไปเป็นช้างแอฟริกา ช้างอินเดีย แมมมอธ มาสโตดอน (แมมมอธและมาสโตดอนสูญพันธุ์ไปแล้ว) และอาจจะเป็นช้างประเภทอื่นๆอีก21
กระนั้นก็ตาม เราสามารถเห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่เกิดขึ้นถูกจำกัดอยู่ด้วยข้อมูลทางพันธุกรรมที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งๆตั้งแต่เริ่มแรก แต่การเปลี่ยนแปลงหรือการเกิดลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ดังกล่าวไม่สามารถทำให้อะมีบากลายเป็นตัวนิ่มได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลทางพันธุกรรมใดๆเพิ่มเข้าไป บางคนอาจจะเรียกกระบวนการคัดแยกออกหรือลดน้อยลงของประชากรสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆอย่างที่กล่าวมานั้นว่าเป็น“วิวัฒนาการ” แต่มันก็ไม่ได้เป็นการเพิ่มข้อมูลทางพันธุกรรมเข้าไปมากพอที่จะเกิดกระบวนการอันซับซ้อนชนิดที่โมเลกุลถูกเปลี่ยนมาเป็นมนุษย์ได้อย่างที่นักวิวัฒนาการอ้างว่ามันเกิดขึ้นแบบนั้น22
แล้วความคล้ายคลึงกันที่เห็นได้ในสิ่งมีชีวิตล่ะ?
เราคงคาดหวังว่าผู้ออกแบบคนเดียวกันย่อมจะต้องออกแบบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันหรือมีอยู่เพื่อจุดประสงค์คล้ายๆกัน นั่นเป็นจริงสำหรับความคล้ายคลึงทางโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตด้วย เช่น คนเรามีลักษณะคล้ายลิงชิมแพนซีมากกว่ากบบูลฟรอก เพราะฉะนั้นเราก็คาดว่าโครงสร้างระดับโมเลกุลของลิงชิมแพนซีกับคนก็น่าจะคล้ายกันมากกว่าที่คล้ายกับกบบูลฟรอกด้วย อย่างเช่นโครงสร้างของโปรตีน23
ความคล้ายคลึงกัน ดังเช่นที่แสดงในภาพของลักษณะโครงสร้างของกระดูกระยางค์หน้า คือแขน ขาหน้า และปีก (ที่ถูกเรียกว่า “เหมือนกัน”) นั้นสามารถอธิบายได้สองแนวทาง คือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภาพนี้ ถ้าไม่ใช่มีบรรพบุรุษเดียวกัน ก็ต้องมีผู้ออกแบบคนเดียวกัน ดังนั้น เราจึงไม่สามารถใช้เพียงหลักฐานของการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในการพิสูจน์คำอธิบายข้างต้นไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดได้

แต่ว่าที่จริงแล้ว ในกรณีนี้ นักวิวัฒนาการมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญ เพราะว่าโครงสร้างที่ว่า “เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน” ในสิ่งมีชีวิตหลายๆชนิดนั้นถอดรหัสมาจากยีนที่ต่างกันและพัฒนามาจากส่วนของเอมบริโอคนละส่วน นี่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากของนักวิวัฒนาการในการที่จะอธิบายความคล้ายคลึงในสิ่งมีชีวิตให้สมเหตุสมผลตามทฤษฎีวิวัฒนาการได้24
ทีนี้ลองมาพิจารณากระดูกระยางค์หลังของสิ่งมีชีวิตที่กระดูกระยางค์หน้าของมันถูกนำมาแสดงไว้ในภาพกันบ้าง (ดูรูปประกอบข้างต้น) กระดูกระยางค์หลังเหล่านี้ก็มีรูปแบบพื้นฐานแบบเดียวกัน ฉะนั้นถ้าจะใช้คำอธิบายเดียวกันแล้ว นักวิวัฒนาการควรจะต้องอธิบายว่ากระดูกระยางค์หลังเหล่านี้ล้วนวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกระยางค์เพียงคู่เดียว ซึ่งจะต้องเป็นโครงสร้างดั้งเดิมของทั้งกระดูกระยางค์หน้าและกระดูกระยางค์หลัง
เป็นที่แน่นอนว่า นักวิวัฒนาการส่วนมากจะเห็นพ้องกันว่าคำอธิบายข้างต้นนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล และคงจะถกเถียงว่าการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกันสำหรับกระดูกระยางค์หน้าและระยางค์หลังนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะมีข้อได้เปรียบทางพันธุวิศวกรรมบางอย่างที่เราไม่อาจรู้ได้ แต่แล้วนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ดีหรือที่จะเชื่อว่ามันเป็น “การกำหนดของผู้ออกแบบ” ให้สิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมีกระดูกระยางค์ที่คล้ายคลึงกันอย่างที่มีอยู่
ไมเคิล เดนตัน ซึ่งเป็นนักชีววิทยาโมเลกุล (ผู้ซึ่งตัวเขาเองไม่ได้เชื่อในการทรงสร้าง) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติทางชีวเคมีระหว่างโปรตีนของสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์ ผลการศึกษาของเขาไม่ได้สนับสนุนความเชื่อทางวิวัฒนาการที่เชื่อกันอย่างแพร่หลาย การศึกษาดังกล่าวเป็นกรณีที่ชัดเจนที่แสดงถึงการเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอย่างเป็นเอกเทศและไม่ได้ช่วยให้เห็นหลักฐานใดๆที่ว่ามันมีบรรพบุรุษเดียวกันเลย ผู้อ่านที่สนใจเกี่ยวกับการทรงสร้าง/วิวัฒนาการในแง่มุมนี้ควรอย่างยิ่งที่จะอ่านหนังสือของเขา (หนังสือ Evolution : A theory in crisis สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์)
แล้วอวัยวะที่เหลืออยู่จากวิวัฒนาการล่ะ?
ไม่ค่อยมีใครใช้ข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับ “อวัยวะที่ยังเหลืออยู่” จากการวิวัฒนาการกันแล้วในทุกวันนี้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ามันได้สร้างความอับอายขายหน้ามากเกินไปในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ยี่สิบ นักวิวัฒนาการได้กล่าวอย่างมั่นใจว่าคนเรามีอวัยวะมากกว่า 100 อวัยวะที่ไม่ได้ใช้งานซึ่งเหลือตกทอดมาจากบรรพบุรุษในอดีตที่วิวัฒนาการมา แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป อวัยวะที่ว่าไม่มีหน้าที่เหล่านี้ก็ค่อยๆถูกค้นพบทีละอย่างว่ามันทำหน้าที่บางอย่าง จนถึงวันนี้ แทบจะไม่มีอวัยวะใดเหลืออยู่แล้วที่ยังไม่พบว่ามีหน้าที่ใดๆ แม้กระทั่งไส้ติ่งซึ่งเป็นอวัยวะที่เล็กน้อยและถือว่าไม่สำคัญก็ยังถูกค้นพบแล้วว่ามันมีส่วนในการต้านการติดเชื้อ อย่างน้อยที่สุดในช่วงต้นของชีวิต25
คำกล่าวที่ว่าเอมบริโอของมนุษย์มีการพัฒนาการผ่านระยะต่างๆของสัตว์ในอดีตตามที่มีการอ้างกันมา เช่นส่วนที่เป็นช่องเหงือกนั้น ปัจจุบันความเชื่อนั้นได้ถูกยืนยันนานแล้วว่าไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อดังกล่าวยังไม่หมดไปง่ายๆ26

แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้คล้ายกันมากอย่างที่หลายคนคิด เหตุเนื่องมาจากภาพวาด (แถวบน) ที่วาดโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ยึดทฤษฎีวิวัฒนาการชาวเยอรมันชื่อ Ernst Haeckel ที่ปรากฏอยู่ในตำราเรียนและสารานุกรมจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่คนนับล้าน เมื่อเร็วๆนี้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้วาดไว้นั้นผิดจากความเป็นจริงอย่างมาก (ดูวารสาร Creation 20 (2): 49-51, 1998) ภาพถ่าย (แถวล่าง) แสดงให้เห็นว่าเอมบริโอของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จริงๆแล้วมีหน้าตาเป็นอย่างไรในระยะการพัฒนาช่วงเดียวกัน
ประวัติศาสตร์มนุษย์
ในปัจจุบันประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยอัตรามากกว่าร้อยละ 1 ต่อปี หากนับคนที่ตายไปเนื่องจากโรคภัย ความอดอยาก สงคราม และอื่นๆ ตามตัวเลขประมาณการต่ำสุดคือร้อยละ 0.5 ต่อปี ด้วยอัตรานี้ มันจะใช้เวลาเพียงแค่ 4,000 ถึง 5,000 ปีก็จะมีประชากรเท่ากับที่มีในปัจจุบัน โดยเริ่มจากคน 8 คน ที่ภูเขาอารารัต ภายหลังน้ำท่วมสมัยโนอาห์

มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าท่าทีของการเหยียดเผ่าพันธุ์นั้นได้พุ่งสูงขึ้นมากหลังจากดาร์วินได้ตีพิมพ์หนังสือ Origin of Species ออกมา กล่าวโดยสรุป คือ นักวิวัฒนาการเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ต่างๆนั้นได้มีการวิวัฒนาการเป็นอิสระแยกจากกันมานับหมื่นหรือนับแสนๆ ปี ซึ่งนั่นบ่งชี้ว่า กระบวนการพัฒนาเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆนี้เกิดขึ้นด้วยอัตราเร็วที่ต่างกัน ดังนั้น บางเผ่าพันธุ์จึงไม่ห่างออกมามากนักจากสัตว์ที่เป็นบรรพบุรุษ
อย่างไรก็ตามพันธุศาสตร์ยุคปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า “เผ่าพันธุ์” มนุษย์ทุกเผ่านั้นมีความใกล้เคียงกันอย่างมาก และเป็นไปตามลักษณะประจำเผ่าที่ปรากฏอยู่ในประชากรกลุ่มเล็กๆที่เป็นบรรพบุรุษในอดีต ซึ่งต่อมามีการแยกกันเป็นกลุ่มย่อยลงไปอีกเนื่องจากเหตุการณ์ที่หอบาเบล27 ยกตัวอย่าง หลายคนประหลาดใจเมื่อได้เรียนรู้ว่าในมนุษย์นั้นมีเม็ดสีผิวหลักเพียงแค่ชนิดเดียว แต่การที่ผิวของคุณจะมีสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลอ่อนนั้นขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของคุณสร้างเม็ดสีนี้ ซึ่งเรียกว่า เมลานิน มากน้อยแค่ไหน ถ้าลองเอากระดาษสีขาวไปเทียบกับชาวยุโรปแท้ๆและเอากระดาษสีดำไปเทียบกับชาวแอฟริกันแท้ๆ จะพบว่าไม่มีใครที่มีผิว “ขาว” หรือผิว “ดำ” อย่างแท้จริงเลย เนื่องจากการที่ลักษณะที่ถูกสร้างมาทั้งหมดในประชากรมนุษย์นั้นได้มีอยู่แล้วในครอบครัวของโนอาห์ (และก่อนหน้านั้นในอาดัมกับเอวา) เราพอที่จะบอกได้ว่าคนเหล่านี้น่าจะมีผิว ผม และตาสีน้ำตาลปานกลาง28

นอกจากนั้น “ปัญหา” เกี่ยวกับเรื่องภรรยาของคาอินที่อ้างกันว่าเป็นญาติสนิท (จากพระธรรมปฐมกาล 5:4 ที่กล่าวว่าอาดัมกับเอวามีลูกสาวด้วย) นั้นไม่สามารถใช้ลบล้างความจริงในพระธรรมปฐมกาลได้ แต่กลับช่วยสนับสนุนพระธรรมปฐมกาลด้วย เนื่องจากการที่ตำหนิอันเกิดจากการกลายพันธุ์ซึ่งเกิดหลังจากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลยนั้นยังใช้เวลานานหลายรุ่นกว่าจะเกิดขึ้นได้ ลูกหลานของอาดัมจึงไม่ต้องกลัวตำหนิที่จะเกิดขึ้นในลูกที่จะเกิดมาเนื่องจากการแต่งงานกับญาติสนิทอีกเป็นเวลาหลายศตวรรษ แม้แต่อับราฮัมเองก็ยังสามารถแต่งงานกับน้องสาวที่เป็นญาติได้โดยไม่มีปัญหาอะไร กฎของพระเจ้าที่ห้ามการแต่งงานระหว่างญาติสนิท (เป็นที่แน่นอนว่าเราล้วนแต่แต่งงานกับญาติของเราทั้งนั้นเพราะเราล้วนสืบเชื้อสายมาจากชายหญิงเพียงคู่เดียว) ก็ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นจนกระทั่งถึงยุคของโมเสส ซึ่งเป็นเวลาหลายร้อยปีหลังจากนั้น29
เนื่องจากการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เกิดมาจากการแยกออกจากกันของเหล่าลูกหลานของคนที่มีชีวิตรอดจากภัยพิบัติน้ำท่วมสมัยโนอาห์ มันไม่สมเหตุสมผลหรือที่จะมีเรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อยู่ทั่วไป จริงๆแล้ว ชาวอบอริจินในออสเตรเลีย, ชาวอินุอิทแถบอาร์คติก หรือคนอินเดียนแดงในอเมริกา และแทบจะทุกเผ่าทุกชนชาติบนโลกก็มีเรื่องราวของน้ำท่วมโลกอยู่ในตำนานต่างๆอยู่แล้ว แม้ว่าตำนานเหล่านี้อาจจะถูกบิดเบือนเนื้อหาไปบ้างจากเวลาที่ผ่านไปและการเล่าต่อๆกัน แต่ก็ยังมีส่วนที่คล้ายกับเรื่องในหนังสือปฐมกาล บ่อยๆรวมถึงเรื่องการปล่อยนกออกไป การเกิดรุ้ง และการถวายบูชาหลังจากน้ำท่วม เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื่นอีกที่เล่ากันในบริเวณต่างๆตั้งแต่สมัยก่อนที่มิชชันนารีจะเดินทางไปถึง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มีความสอดคล้องกับเรื่องในพระธรรมปฐมกาลในช่วงก่อนที่คนจะกระจัดกระจายไปเนื่องจากเหตุการณ์การสร้างหอบาเบล แต่ไม่มีเรื่องอย่างเช่นเรื่องการข้ามทะเลแดง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการแยกกันของผู้คนไปยังที่ต่างๆ
แล้วการใช้กัมมันตภาพรังสีไม่ได้พิสูจน์ว่าโลกมีอายุยาวนานหรือ?

แท้จริงแล้วมีวิธีการหลายวิธีที่ใช้หาอายุของสิ่งต่างๆซึ่งประมาณอายุสูงสุดของสิ่งต่างๆได้น้อยกว่าค่าที่คาดว่าจะได้ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งให้ค่าที่ประมาณได้สูงสุดในช่วงไม่เกินหลายพันปี โดยปกติแล้ว นักวิวัฒนาการชอบใช้วิธีเพียงบางวิธี (เช่นวิธีที่ใช้กัมมันตภาพรังสี) โดยอัตโนมัติหรือบางทีโดยไม่รู้ตัว เพื่อหาอายุของสิ่งต่างๆ วิธีที่นักวิวัฒนาการเลือกใช้นั้นจะให้ค่าของเวลาที่ไปกันได้กับความเชื่อแนววิวัฒนาการ ความเชื่อที่ว่าโลกมีอายุเป็น “ล้านๆปี” นั้นมีขึ้นมาก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีทางกัมมันตภาพรังสีเสียอีก
วิธีการวัดอายุโดยใช้คาร์บอนนั้นไม่ได้สามารถวัดค่าได้เป็นล้านๆปี ซึ่งตรงกันข้ามกับวิธีทางกัมมันตภาพรังสีที่มีผู้เชื่อกันอย่างกว้างขวาง (อุปกรณ์วิเคราะห์ที่ดีที่สุดของการหาอายุโดยวิธีการใช้คาร์บอนทุกวันนี้ โดยทฤษฎีแล้วสามารถให้ค่าสูงสุดได้ไม่เกิน 100,000 ปีเท่านั้น) วิธีคาร์บอนสามารถวัดอายุของสิ่งที่ยังมีธาตุคาร์บอนในรูปที่เป็นสารอินทรีย์อยู่เท่านั้น (เช่น ถ่านหิน ไม้ กระดูก แต่ไม่ใช่หิน) เมื่อเข้าใจถึงวิธีคาร์บอน-14 และสมมติฐานของวิธีนี้และเมื่อได้นำมาทดสอบกับข้อมูลจริงๆในโลก จะพบว่าอายุของสิ่งต่างๆที่ประมาณได้จากวิธีคาร์บอนนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าโลกถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง (ดูใน The Creation Answers Book) โดยทั่วไปฟอสซิลไม่ได้มีธาตุกัมมันตรังสีอยู่ ดังนั้นการหาอายุของฟอสซิลจึงไม่ควรใช้วิธีทางกัมมันตภาพรังสี แต่สิ่งที่มักทำกันก็คือการหาร่องรอยการไหลของลาวาจากภูเขาไฟซึ่งจะปรากฏด้วยกันกับชั้นฟอสซิล และพยายามหาอายุของฟอสซิลนั้นโดยใช้ วิธีโพแทสเซียม-อาร์กอน (K-Ar)
ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่แพร่หลายมากก็คือว่าการประมาณอายุสิ่งต่างๆโดยใช้กัมมันตรังสีด้วยวิธีต่างๆนั้นจะให้ผลที่ตรงกันและตรงกับอายุของชั้นหินที่เชื่อกันหรือคาดเดากันก่อนหน้านั้น บางทีสิ่งนี้อาจเกิดจากกระบวนการ “เลือก” โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ อย่างที่นักวิวัฒนาการท่านหนึ่งคือ ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เมาเกอร์ กล่าวว่า “โดยทั่วไป ถ้าอายุที่วัดออกมาได้มีค่าใกล้เคียงกับที่ได้จากข้อมูลอื่น จะถือว่าอายุที่ระบุนั้นถูกต้องและจะได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ แต่ถ้าค่าที่ได้ไม่ตรงกับข้อมูลอื่นๆก็จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และค่าที่ได้ต่างกันนั้นก็ไม่ได้รับการอธิบายด้วยซ้ำไป”


การใช้คาร์บอนในการหาอายุของไม้ซึ่งพบใต้ลาวาที่เกิดจากการระเบิดของภูขาไฟ Rangitoto (ซึ่งเป็นเกาะภูเขาไฟใกล้กับเมืองออคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์) ชี้ให้เห็นว่า การระเบิดได้เกิดขึ้นเมื่อราว 200 ปีที่ผ่านมา ชื่อของภูเขาไฟนั้นหมายความว่า “ท้องฟ้าสีแดง” ซึ่งคาดว่าชาวเมาริสซึ่งอยู่ที่นั่นอย่างมากที่สุดไม่เกิน 1,000 ปี ได้เห็นเหตุการณ์นี้และได้ตั้งชื่อนี้ขึ้น แต่การประเมินอายุลาวาโดยวิธีโพแทสเซียม-อาร์กอนให้ผลการประเมินว่ามีอายุถึงครึ่งล้านปี (วารสาร Creation 13(1): 15, 1991) เราได้ตีพิมพ์รายงานที่ละเอียดชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับไม้ที่พบในหินทรายที่ถูกอ้างว่ามี “อายุ 250 ล้านปี”30 หรือในหินภูเขาไฟที่ว่ามี “อายุหลายสิบล้านปี” 31 ซึ่งเมื่อประเมินอายุด้วยวิธีคาร์บอนได้ค่าเพียงหลายพันปีเท่านั้น เมื่อนักธรณีวิทยาที่เชื่อในเรื่องการทรงสร้างเก็บตัวอย่างหินภูเขาไฟที่ทราบแน่ว่าไหลออกมาจากภูเขาไฟที่ระเบิดในช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ แล้วส่งตัวอย่างนั้นไปยังห้องปฏิบัติการต่างๆที่มีชื่อเสียงเพื่อให้ประเมินอายุของหินนั้นโดยวิธีทางกัมมันตภาพรังสี ผลได้จากห้องปฏิบัติการแต่ละแห่งได้ออกมาเหมือนกันคือหินนั้นมีอายุหลายล้านปี!32 นี่แสดงให้เห็นว่าสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังวิธีการหาอายุของสิ่งต่างๆโดยวิธีทางกัมมันตภาพรังสีมีความผิดพลาดอย่างมาก

แล้วไดโนเสาร์ล่ะ ?
คุณอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมในหลายๆวัฒนธรรมจึงมีตำนานเกี่ยวกับมังกร ซึ่งมีลักษณะเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ มีเขา เกล็ด และโครงสร้างที่ป้องกันลำตัว (แถมในบางตำนานยังบินได้อีกด้วย) ลักษณะที่กล่าวมานี้คล้ายกับลักษณะของไดโนเสาร์และสัตว์เลื้อยคลานอื่นบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งถูกถอดรูปร่างที่น่าจะเป็นออกมาได้จากฟอสซิล แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครเคยได้พบทั้งไดโนเสาร์หรือมังกรเลย ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็มีการกล่าวถึงมังกรไว้ (ภาษาฮีบรูสำหรับมังกรคือ tnn (เเทนนิน) ส่วนคำว่าไดโนเสาร์เพิ่งจะเริ่มนำมาใช้กันในคริสตศตวรรษที่ 19)
ถ้าเราถือว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกในพระคริสตธรรมคัมภีร์หมายความตามตัวอักษร การที่จะเชื่อว่ามนุษย์กับไดโนเสาร์เคยอยู่ร่วมกันในอดีตก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย สัตว์โลกหลายชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้ว และบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ไปในทุกวันนี้ การสูญพันธุ์ไม่ใช่วิวัฒนาการ และฟอสซิลก็ไม่ได้แสดงว่าไดโนเสาร์เปลี่ยนแปลงมาจากสัตว์ที่ไม่ใช่ไดโนเสาร์33
สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือ?
ลองพิจารณาถึงเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเรื่องการวิวัฒนาการ ผู้คนกล่าวถึงวิวัฒนาการราวกับว่ามันเป็นข้อเท็จจริง แต่จริงๆแล้ว ไม่มีใครสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้เลยว่าโมเลกุลที่บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมอันสลับซับซ้อนที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกที่กล่าวกันว่าเรียบง่ายที่สุดนั้นสามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยปราศจากใครสักคนสร้างขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ดีหลายเหตุผลที่จะทำให้เชื่อว่าการเกิดวิวัฒนาการอย่างนี้เป็นไปไม่ได้
ความจริงข้อหนึ่งที่ถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ คือการที่เราไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติของเซลล์สิ่งมีชีวิตที่ทำให้มันมีชีวิตอยู่ได้โดยแค่เพียงโยงไปถึงคุณสมบัติทางเคมีของโมเลกุลที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์เท่านั้น ในทำนองเดียวกัน เราก็ไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติโดยรวมของรถยนต์คันหนึ่งด้วยเพียงแค่การอธิบายคุณสมบัติของยาง โลหะ พลาสติก และอื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของรถ แนวความคิดหรือหลักการของ “รถยนต์” จะต้องถูกนำมาจากภายนอกมาใส่ลงไปบนวัสดุที่เป็นส่วนประกอบรถยนต์ รถยนต์จะเป็นรถยนต์ได้ต้องใช้ทั้งสสาร พลังงาน รวมทั้งข้อมูล ซึ่งตัวข้อมูลเองเป็นคุณสมบัติที่จับต้องไม่ได้ซึ่งวัสดุแต่ละอย่างมีอยู่34

ถ้าทั้งหมดที่จะทำให้ชีวิตเกิดมาได้คือเพียงแค่ส่วนประกอบที่ถูกต้อง ทำไมเราจึงไม่เห็นยุงที่เพิ่งจะตายกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้บ้าง? หรือบางทีมันอาจเกิดขึ้นได้ไหมถ้าใส่พลังงานเข้าไป? ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน มันจะต้องมีมากกว่าแค่เอาพลังงานมารวมกับส่วนประกอบที่ถูกต้อง คือต้องมีการจัดระเบียบเข้าไป ซึ่งนั่นก็คือ ข้อมูล สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดได้ข้อมูลมาจากบรรพบุรุษ แต่เราไม่เคยเห็นข้อมูลเกิดขึ้นจากสสารในสภาพดั้งเดิมของมันเองที่ไม่ได้ถูกบรรจุโปรแกรมเอาไว้แต่อย่างใด
ชีวิตทั้งหมดในโลกเท่าที่รู้จักกันตอนนี้ล้วนขึ้นกับสายโพลีเมอร์ (ดีเอ็นเอ) ที่เก็บข้อมูลอยู่ ซึ่งสายโพลีเมอร์นี้เป็นโมเลกุลที่ต่อกันเป็นโซ่ยาว โดยหน้าที่ของมันขึ้นอยู่กับลำดับที่เกิดจากการต่อกันของหน่วยย่อยแต่ละหน่วย ในทำนองเดียวกันกับที่การทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นอยู่กับลำดับของสัญลักษณ์ในคำสั่งโปรแกรม
ในการที่จะอธิบายว่ากลไกการที่ชีวิตต้องเกิดมาโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตนั้น เราไม่สามารถใช้การคัดเลือกตามธรรมชาติมาอธิบายได้ เพราะว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะต้องสามารถคัดลอกตัวมันเองก่อนที่จะสามารถพูดถึงการคัดเลือกตามธรรมชาติได้ แต่การที่จะคัดลอกตัวเองก็ต้องการกลไกที่นำข้อมูลไปได้ซึ่งจะต้องมีอยู่ในนั้นก่อนแล้ว กล่าวง่ายๆก็คือ ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องเชื่อว่าข้อมูลนั้นเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ
เซอร์ เฟรด ฮอยล์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลผู้ซึ่งเขาเองไม่ได้เชื่อในเรื่องการทรงสร้างได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “Evolution from space” ว่าการที่จะมีโมเลกุลยาวเหยียดที่บรรจุข้อมูลแม้แค่เพียงหนึ่งโมเลกุลซึ่งสามารถเกิดขึ้นเองได้โดยบังเอิญจาก ‘น้ำแกง’ อะไรสักอย่างหนึ่งนั้น มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดราวกับเรื่องที่ว่าระบบสุริยะมีคนตาบอดเต็มไปหมดแบบไหล่ชนไหล่ แล้วคนทั้งหมดนั้นก็สลับสับเปลี่ยนชิ้นส่วนของตัวต่อบล็อคแบบสุ่ม แล้วจู่ๆคนเหล่านี้ทั้งหมดก็สามารถแก้ตัวต่อบล็อคของแต่ละคนได้พร้อมๆกันโดยบังเอิญ
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมคนจำนวนมากจึงเชื่ออย่างแรงกล้าในวิวัฒนาการเล่า?
แน่นอน มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนเชื่ออย่างแรงกล้าในทฤษฎีวิวัฒนาการ เช่น แรงกดดันของสังคมหรือวัฒนธรรม การไม่มีโอกาสพิจารณาทางเลือกอื่น การศึกษาอบรมที่ได้รับในวัยเด็ก แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์ชี้เหตุผลอีกเหตุผลหนึ่งที่ลึกกว่านั้นและเราควรจะได้พิจารณา เหตุผลนั้นโยงถึงความจริงที่ว่า เริ่มตั้งแต่การที่ตัวแทนมนุษย์คนแรกคืออาดัมได้กบฏต่อพระเจ้านั้น มนุษย์ได้มีแนวโน้มภายในที่จะต่อต้านกฎเกณฑ์ของผู้ที่สร้างชีวิตของเขาทั้งหลาย
ในหนังสือโรม บทที่ 1 ข้อ 18-22 เขียนไว้ว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป”
ทางเลือก
คุณสามารถคงความเชื่อในเรื่องวิวัฒนาการต่อไป หรือเลือกที่จะเชื่อในการทรงสร้าง ความเชื่อในเรื่องการทรงสร้างตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่เพียงแต่มีเหตุมีผลตามหลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสมเหตุสมผลกว่าด้วย ลองถอยออกไปและมองเข้ามายังโลกที่มีปฏิสัมพันธ์กันซึ่งสลับซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อนี้ ยังไม่รวมถึงความน่าอัศจรรย์ของสมองมนุษย์ แล้วลองคิดถึงความเชื่อที่ว่าทั้งหมดนี้เกิดมาจากความว่างเปล่าโดยความบังเอิญ แน่นอนว่าความเชื่ออย่างนั้นเป็นความเชื่อแบบหลับหูหลับตาเชื่อแทนที่จะเป็นความเชื่ออย่างมีเหตุมีผลของผู้เชื่อในเรื่องการทรงสร้าง ไม่ใช่หรือ?

ถ้าโลกนี้เกิดมาอย่างมีจุดประสงค์ จากการจงใจกระทำที่เต็มไปด้วยความรอบรู้อย่างยิ่งของผู้หนึ่งแล้ว ทางเดียวที่เราจะสามารถรู้ถึงจุดประสงค์ของจักรวาลนั้นได้ ก็โดยการที่จุดประสงค์นั้นจะต้องถูกเปิดเผยให้เราทราบ ซึ่งแท้จริงก็ได้ถูกเปิดเผยให้แก่เราแล้วในพระคริสตธรรมคัมภีร์ หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่พิเศษ ซึ่งในนั้นมีคำอ้างมากกว่า 3,000 ครั้งว่าเป็นถ้อยคำของพระผู้สร้างเองที่เชื่อถือได้อย่างไม่มีข้อสงสัย ซึ่งบอกเราเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโลกนี้
คุณเคยติดใจหรือสงสัยเกี่ยวกับความตายและความทุกข์ยากลำบากในโลกว่าเกิดมาจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? เนื่องจากพระธรรมปฐมกาลเป็นจริง เราจึงสามารถรู้ได้ว่าทำไมความตายและความทุกข์ลำบากจึงมีอยู่ และรู้ได้ว่าความตายและความทุกข์ยากเหล่านี้ไม่ได้ติดมากับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างตั้งแต่ไหนแต่ไรมา35 ลักษณะที่น่าเกลียดของธรรมชาติที่เราเห็นอยู่นั้นคือสิ่งที่ถูกสร้างที่ตกอยู่ในคำแช่งสาปและถูกทำลาย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ธรรมชาติก็ยังคงมีความงดงามแรกเริ่มและสภาพของการที่มันเคยล้วนแล้วแต่ดีงามหลงเหลือให้เห็นอยู่
คนที่มีส่วนในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะให้คุณต้องไปเข้าร่วมกลุ่มหรือคริสตจักรใดกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาต้องการให้คุณได้ประสบกับหลักฐานที่ว่าโลกนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเยซูคริสต์และเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ (พระธรรมโคโลสี บทที่ 1 ข้อ 16) พวกเขาอยากชักชวนให้คุณได้กลับคืนดีกับผู้ที่สร้างคุณขึ้นมา คือพระเจ้าที่ปราศจากความบาป พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกส่งมาเกิดในโลกในสภาพของมนุษย์ ผู้ซึ่งได้ทนทุกข์บนไม้กางเขนจนตาย และหลังจากนั้นเป็นขึ้นมาใหม่
พระบุตรของพระเจ้านั้นได้แบกการลงโทษสำหรับความบาปของคุณต่อหน้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ คือพระบิดา ผู้ซึ่งเราทุกคนได้ทำผิดต่อกฎบัญญัติของพระองค์ การทนทุกข์ของพระบุตรของพระเจ้านั้น ก็เพื่อว่าเราอาจจะกลับใจ (การกลับใจหมายถึงเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าและเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับความจริงของพระเจ้า) และมอบตัวของคุณไว้ในพระคุณพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์ผ่านการที่เลือดของพระองค์ได้หลั่งออกเพื่อคุณ พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า “จงเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านจะรอด” จากนั้นคุณจะไม่เพียงแต่มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในตอนนี้เท่านั้น แต่จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์แทนที่จะถูกลงโทษตลอดไปเป็นนิตย์ (พระธรรมยอห์น บทที่ 3 ข้อ 18)
ทำไมคุณไม่ลองอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ดูตอนนี้เลยล่ะ? ทางที่ดีที่สุดควรเริ่มอ่านดังนี้คือ อ่านพระธรรมปฐมกาลสิบเอ็ดบทแรกเพื่อให้เข้าใจประวัติที่แท้จริงของโลก จากนั้นอ่านพระกิตติคุณยอห์น ตามด้วยพระธรรมโรม เราขอแนะนำให้คุณอภิปรายเรื่องนี้กับผู้นำคริสเตียนจากคริสตจักรที่มีชื่อเสียงดีและเชื่อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใกล้ ๆ บ้านของคุณ
ถ้าคุณเป็นคริสเตียนอยู่แล้ว เราอยากเชิญชวนให้คุณทำความเข้าใจความจริงที่ซ่อนอยู่ของสงครามฝ่ายวิญญาณที่สำคัญมากนี้ ซึ่งก็คือข้อขัดแย้งระหว่างความเชื่อเรื่องการทรงสร้างหรือวิวัฒนาการ เราเห็นผลของการยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้นรอบ ๆ ตัวเรา ที่สังคมยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในปรัชญาที่ว่า “เมื่อไม่มีใครสร้างเรา ดังนั้นเราก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เราพอใจ”
พื้นฐานความเชื่ออันสมเหตุสมผลของคริสตศาสนากำลังถูกโจมตีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงวันนี้ เราได้มีข้อมูลที่ชัดเจนและหนักแน่นที่จะเป็นคำตอบสำหรับความเชื่อของคริสเตียนซึ่งเราจะสามารถนำไปใช้เพื่อที่จะนำคนให้มาถึงพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราได้
เราขอแนะนำให้คุณอ่านบทความที่เหมาะสม (ที่ได้นำมาอ้างไว้ในที่นี้ – หาได้จาก creation.com) โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่ได้นำเสนอไว้อย่างสั้นๆในหนังสือเล่มนี้
เอกสารอ้างถึง
- ชาวคริสต์บางคนพยายามคงความเชื่อในเรื่องของการที่สิ่งมีชีวิตบนโลกได้เกิดมาเป็นเวลานับล้านปีไว้ในขณะเดียวกับที่ได้ปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการบางส่วน โดยยึดความคิดว่า “โลกเกิดมาจากการออกแบบสร้างอันชาญฉลาด” หรือ “กระบวนการสร้างเป็นลำดับขั้น” (ที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาเป็นชุดๆตลอดระยะเวลาหลายพันล้านปี) ความเชื่อที่พยายามประนีประนอมแนวคิดทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันนี้โดยทั่วไปไม่สามารถที่จะชักจูงคนที่ไม่ใช่คริสเตียนที่มีการศึกษาสูงที่พวกเขาพยายามเข้าถึง ยิ่งไปกว่านั้น ความเชื่อเช่นนี้ยังเป็นการกล่าวหาพระเจ้าว่าเป็นผู้ที่อนุญาตให้เกิดภัยพิบัติและการนองเลือดนับล้านๆปี แถมยังได้ทรงบรรยายสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนี้เมื่อทรงเสร็จสิ้นการทรงสร้างว่า “ทุกสิ่งล้วนดีมาก” นอกจากนั้น แนวความเชื่อนี้ยังขัดแย้งกับถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่ว่ามีคนอยู่ตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก ไม่ใช่หลายพันล้านปีหลังจากนั้น (พระธรรมมาระโก บทที่ 10 ข้อ 6 และพระธรรมมัทธิว บทที่ 19 ข้อ 4) นอกจากนี้พระธรรมโรม (โรม 1:20) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้คนได้มีชีวิตอยู่ที่จะประจักษ์ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านทางสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างตั้งแต่ตอน “แรกเริ่มสร้างโลก” มาแล้ว กลับไปความเดิม.
- James Barr ศาสตราจารย์ด้านภาษาฮีบรูที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้ซึ่งไม่เชื่อในความจริงตามตัวอักษรของพระธรรมปฐมกาล ดูเพิ่มเติมได้จากแผ่นพับ Six Days: Honestly! (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์) กลับไปความเดิม.
- สิ่งที่เรียกว่า “root soils” ที่พบในถ่านหินของซีกโลกเหนือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่แสดงว่ารากไม้ที่ปรากฏร่องรอยนั้นเคยลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้เจริญอยู่ในดิน ดู “Coal Catastrophe and Floating Forests” เป็นวีดีโอเชิงวิชาการ จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International” กลับไปความเดิม.
- จากวารสาร Organic Geochemistry 6:463–471, 1984 กลับไปความเดิม.
- ดูวิดีโอ Raging Waters แสดงหลักฐานโดยละเอียดจำนวนมากของการเกิดน้ำท่วมโลก (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- ดูวีดีโอ เรื่อง Mount St Helens (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- คำพูดที่ยกมาอ้างในหนังสือนี้ ได้อ้างอย่างครบถ้วนไว้ในหนังสือ The revised Quote Book เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- แพทเทอร์สันถูกโจมตีจากผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการหลายท่านสำหรับการที่เขียนคำกล่าวนี้รวมทั้งการยอมรับอื่นๆในทำนองเดียวกัน และหลังจากนั้นได้พยายามที่จะขัดเกลาคำกล่าวของเขาให้นุ่มนวลขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาษาที่ใช้ในที่นี้ก็บอกความหมายได้อย่างชัดเจนและไม่สามารถตีความผิดได้ กลับไปความเดิม.
- สำหรับคำอธิบายที่ละเอียดและทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน เกี่ยวกับแนวความคิดที่ว่าไดโนเสาร์เปลี่ยนไปเป็นนก รวมทั้งคำกล่าวอ้างถึงการเปลี่ยนสถานะระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิด สามารถค้นหาได้จากเครื่องมือสืบค้นในเวปไซต์ของทางสำนักพิมพ์ที่ creation.com กลับไปความเดิม.
- ไม่ใช่ทุกอย่างที่ถูกเรียกว่าเป็นโฮโม อิเร็คตัสนั้นจะสมควรถูกเรียกอย่างนั้นทั้งหมด อย่างเช่นในกรณีโครงกระดูกที่ประกอบด้วยแค่เศษกระดูกหักๆเพียงไม่กี่ชิ้น โครงกระดูกแบบที่เรียกว่า อิเร็คตัส นั้นพบว่าเป็นของสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับมนุษย์ยุคใหม่ และกระดูกของพวกอิเร็คตัสบางลักษณะนั้นยังสามารถพบได้ในประชากรที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย กลับไปความเดิม.
- จาก The Australian 19 สิงหาคม ค.ศ. 1993 ขณะที่ธอร์นเป็นนักบรรพชีวินวิทยาประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กลับไปความเดิม.
- ดู Bones of Contention โดย M. Lubinow (Grand Rapids, MI: Book House, 1992) (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- รหัสบนดีเอ็นเอ หากเรียงต่อๆกันอย่างไม่มีแบบแผนจะไม่ถูกแปลเป็นข้อมูลใดๆ แต่เมื่อ “ตัวอักษร” ที่แทนโมเลกุลทางเคมีเหล่านี้เรียงต่อกันเป็นลำดับอย่างเฉพาะเจาะจง มันจะสามารถถูกแปลเป็นข้อมูลได้โดยอาศัยกลไกอันซับซ้อนของเซลล์ ข้อมูลที่แปลออกมาได้นั้นจะควบคุมการสร้างและการทำงานของสารต่างๆในสิ่งมีชีวิต ลำดับดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคุณสมบัติทางเคมี “ภายใน” สสารที่ประกอบกันขึ้นเป็นดีเอ็นเอ เช่นเดียวกับที่โมเลกุลของน้ำหมึกและกระดาษ (หรือ ตัวอักษรสแครบเบิล) ไม่สามารถประกอบตัวมันเองขึ้นเป็นข้อความที่เฉพาะได้ ลำดับเฉพาะของโมเลกุลดีเอ็นเอหนึ่งๆเกิดขึ้นด้วยการถูกจัดเรียงไว้ด้วยคำสั่งจาก “ภายนอก” ที่ถ่ายทอดมาผ่านดีเอ็นเอของพ่อแม่ กลับไปความเดิม.
- ในมนุษย์ “สาย” ของรหัสพันธุกรรมมีโครโมโซมบรรจุอยู่ 46 ชิ้น กลับไปความเดิม.
- 15 ความผิดพลาดในรหัสพันธุกรรมเหล่านี้โดยปกติไม่ถูกลบไปโดยการคัดเลือกทางธรรมชาติ เพราะว่าโดยมากอาการผิดปกติจะแสดงออกมาเมื่อมีความผิดพลาดในรหัสพันธุกรรมของทั้งพ่อและแม่ ดังนั้น คนๆหนึ่งสามารถเป็นพาหะของลักษณะผิดปกติเหล่านี้โดยไม่ปรากฏอาการผิดปกติแต่อย่างใด ในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนล้วนมีรหัสพันธุกรรมที่มีความผิดพลาดอยู่ในดีเอ็นเอ กลับไปความเดิม.
- สิ่งนี้เป็นจริงเช่นกันสำหรับโรค sickle cell anemia ที่เป็นตัวอย่างสำคัญที่นักวิวัฒนาการชอบนำมาใช้เพื่อแสดงว่ามีการกลายพันธุ์ที่มีประโยชน์ แม้ว่าผู้ที่เป็นพาหะของโรคจะติดเชื้อมาลาเรียได้ยากกว่าคนปกติ แต่พวกเขาได้รับยีนที่เสียหายซึ่งไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินที่สมบูรณ์ได้ และถ้าหากคนใดได้รับยีนที่มีความผิดพลาดนี้จากทั้งพ่อและแม่ จะทำให้เป็นโรคที่ถึงแก่ชีวิตได้ กลับไปความเดิม.
- ดูบทความที่เขียนโดย Francisco Ayala เรื่อง “The Mechanisms of Evolution” ในวารสาร Scientific American 239(3):48–61, 1978 กลับไปความเดิม.
- เรื่องนี้เป็นจริงสำหรับแบคทีเรียหลายชนิดที่มีความต้านทานสารปฏิชีวนะด้วย ข้อมูลที่มีรหัสสำหรับความต้านทานสารปฏิชีวนะอาจถูกถ่ายทอดมาจากแบคทีเรียอื่นหรือแม้แต่สปีชีส์อื่น มีเพียงไม่กี่กรณีที่การกลายพันธุ์ทำให้แบคทีเรียมีความต้านทานเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในแบคทีเรียที่กลไกการให้สารผ่านเข้า-ออกทำงานไม่สมบูรณ์นั้นอาจทำให้สารปฏิชีวนะบางชนิดเข้าสู่เซลล์ไม่ได้ การที่จะเห็นได้ว่าแบคทีเรียเหล่านั้นมีลักษณะด้อยกว่าปกติก็ต่อเมื่อประชากรแบคทีเรียอยู่ในสภาพที่ปราศจากสารปฏิชีวนะ ในสภาพนั้นพวกที่ทนยาปฏิชีวนะไม่ได้เนื่องจากมีระบบเยื่อหุ้มเซลล์ที่สมบูรณ์นั้นก็จะเจริญขึ้นจนมีจำนวนมากกว่าอย่างรวดเร็ว มีเรื่องที่คล้ายกันกับเรื่องนี้อย่างน้อยหนึ่งตัวอย่างที่เกี่ยวกับความสามารถในการต้านยาฆ่าแมลงที่เกิดขึ้นโดยการกลายพันธุ์ กลับไปความเดิม.
- ในโลกที่มีความสลับซับซ้อน บางทีอาจมีวันหนึ่งที่ความผิดพลาดทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของข้อมูลทางพันธุกรรมขึ้นได้เล็กน้อย นักชีวฟิสิกส์ชาวอิสราเอล ชื่อ Lee Spetner ได้ชี้ให้เห็นในหนังสือที่เขาแต่ง เรื่อง Not by Chance ว่าถ้าจะเชื่ออย่างที่ทฤษฎีวิวัฒนาการได้ว่าไว้ จะต้องมีความผิดพลาดของการเพิ่มรหัสทางพันธุกรรมในปริมาณมหาศาลที่จะมีร่องรอยให้เห็นได้ในปัจจุบัน แต่จนบัดนี้ยังไม่พบสักกรณีหนึ่งเลย กลับไปความเดิม.
- ตัวอย่างเช่นการคัดลอกเสียงในเทปต่อๆกันไป หรือโปรแกรมหรือไฟล์คอมพิวเตอร์ต่อๆกันไปในแผ่นบันทึกข้อมูล ซึ่งอย่างดีที่สุดข้อมูลที่คัดลอกไปก็เพียงคงอยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะมีการสูญหายไปของข้อมูลได้ สิ่งนี้สะท้อนระบบอื่นๆทั้งหมดด้วยที่โดยตัวของมันเองมีแนวโน้มจะเสื่อมถอยลง กลายเป็นสภาพที่ไร้ระเบียบมากที่สุด แนวโน้มดังกล่าวถูกตั้งเป็น “กฎของการเสื่อมสลาย” ซึ่งเป็นกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิก กลับไปความเดิม.
- นี่เป็นเหตุให้ผู้ที่ยึดถือเรื่องการทรงสร้างยินดีมากเมื่อได้เห็นว่า “การเกิดเอกลักษณ์” (การเกิดสปีชีส์ใหม่) ดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากในปัจจุบัน เพราะนี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับช่วงเวลาของการกำเนิดของโลกที่พระคริสตธรรมคัมภีร์บันทึกว่าโลกเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ กลับไปความเดิม.
- เป็นเวลากว่ายี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา นักวิวัฒนาการแนวหน้าของโลกรู้ชัดแล้วว่าสัตว์สปีชีส์ใหม่หนึ่งๆสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีการเพิ่มข้อมูลทางพันธุกรรมเข้าไป ดูเพิ่มเติมในหนังสือที่แต่งโดย R. Lewontin เรื่อง The Genetic Basis of Evolutionary Change (Columbia University Press) หน้า 186 ปี ค.ศ. 1974 กลับไปความเดิม.
- หลักการนี้โดยทั่วไปถือว่าเป็นจริง แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นบ้างสำหรับโปรตีนบางชนิดซึ่งนักวิวัฒนาการก็ยังพบว่ายากที่จะอธิบาย กลับไปความเดิม.
- ดูในบทความที่เขียนโดย Sir Gavin de Beer ใน Oxford Biology Reader, 1971 เรื่อง Homology : An Unsolved Problem กลับไปความเดิม.
- ดูใน Glover, J. W., “The human vermiform appendix – A general surgeon’s reflections” ในวารสาร Ex Nihilo Technical Journal 3(1):31–38, 1988. กลับไปความเดิม.
- ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย นักเรียนแพทย์ปี 5 ส่วนใหญ่เชื่อว่าช่องเหงือกเกิดขึ้นในเอมบริโอของมนุษย์ แม้ว่าในหนังสือเรียนวิชาเอมบริโอโลจีที่ใช้ตอนปี 3 จะบอกว่าไม่มีช่องเหงือกเกิดขึ้น (จากวารสาร Creation 14(3):48, 1992) กลับไปความเดิม.
- ดูรายละเอียดใน “How did all the different ‘races’ arise (from Noah’s family)?” ใน The Creation Answers Book (Batten, D., Sarfati, J. and Wieland, C.) (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- สีของตาและผมขึ้นอยู่อย่างมากกับเม็ดสีที่เรียกว่าเมลานินเช่นกัน การที่แสงกระจายจากเมลานินจำนวนน้อยในไอริสของตาจะทำให้ดวงตามีสีฟ้า กลับไปความเดิม.
- ดู Who was Cain’s wife? ใน The Creation Answers Book (Batten, D., Sarfati, J. and Wieland, C.) (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- ดู Snelling, A. Dating dilemma: fossil wood in ‘ancient’ sandstone, วารสาร Creation 21(3): 39-41, 1999. กลับไปความเดิม.
- ดู Snelling, A. Radioactive ‘dating’ in conflict! วารสาร Creation 20(1): 24-27, 1998. กลับไปความเดิม.
- ดู Snelling, A. Radioactive ‘dating’ failure, วารสาร Creation 22(1): 18-21, 2000. กลับไปความเดิม.
- ในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีการบรรยายสิ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นไดโนเสาร์ด้วย เช่น เบเฮมอธ ในหนังสือโยบ บทที่ 40 ดูเพิ่มเติมใน ‘What about dinosaurs?’ ใน The Creation Answers book (Batten, D., Sarfati, J. and Wieland, C.) (สั่งซื้อได้จากสำนักพิมพ์ “Creation Ministries International”) กลับไปความเดิม.
- สิ่งนี้เปรียบเทียบได้กับที่คุณสมบัติโดยรวมของหน้าหนังสือนี้ซึ่งรวมไปถึงใจความของเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ ก็ไม่อาจที่จะลดลงเหลือเพียงคุณสมบัติของหมึกและกระดาษเท่านั้นเช่นกัน แต่ต้องมีทั้งหมึก กระดาษ และข้อมูล ซึ่งจะต้องเป็นไปอย่างที่ตัวหนังสือในหน้ากระดาษนี้ถูกจัดเรียงไว้ ผมอาจจะส่งข้อมูลว่า “แมวนั่ง” จากความคิดของผมลงไปยังแผ่นเก็บข้อมูลแล้วลงไปยังปากกาและน้ำหมึก ซึ่งแม้ว่าข้อมูลนั้นจะถูกส่งผ่านจากวัสดุชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่งได้ แต่ไม่ใช่ตัววัสดุนั้นเองที่ถูกถ่ายทอดไป กลับไปความเดิม.
- เกี่ยวกับคำถามที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้บาปเข้ามาในโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น เราอาจอธิบายได้ดังนี้คือ เพราะว่าจะต้องมีความรักที่แท้จริงระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์จึงต้องถูกสร้างขึ้นมาให้มีอิสระที่จะตัดสินใจที่จะรับหรือปฏิเสธความรักนั้น (หรือคือสามารถที่จะเลือกทำหรือไม่ทำบาปได้) กลับไปความเดิม.
Readers’ comments
Comments are automatically closed 14 days after publication.